วันอาทิตย์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2555


จาริกแสวงบุญในแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์

แผ่นดินศักดิ์สิทธิ์
        ตั้งอยู่ทางตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ทิศเหนือจดเลบานอน  ทิศตะวันออกจดซีเรียและจอร์แดน  ทิศใต้จดทะเลทรายซีนายและทิศตะวันตกจดทะเลเมดิเตอร์เรเนียน  มีขนาด 14,000 ตารางไมล์  มีความสำคัญมากทางประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ  พลเมืองนับถือ 3 ศาสนาใหญ่ ๆ คือ ยิว  มุสลิมและคริสต์  ยังเป็นจุดเชื่อมระหว่าง 3 ทวีป เป็นจุดพบระหว่างตะวันออกและตะวันตก  ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์นี้มีผู้อยู่อาศัยตั้งแต่ 9,000 ปีก่อนคริสตกาล  คนเหล่านี้เป็นหมู่คณะที่เก่าแก่ที่สุดในโลก  แต่การบันทึกประวัติศาสตร์ของแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ได้เริ่มจากสมัยของอับราฮัมออกจากเมืองอูร์ในเมโสโปเตเมีย  และมาถึงดินแดนคานาอันประมาณ 1950 ก่อนคริสตกาล
สำหรับคริสตชนแล้วการอ่านพระคัมภีร์และพระวรสารเป็นเรื่องที่สำคัญ  เพื่อที่จะได้รู้เรื่องราวต่าง ๆ ของพระเจ้าดีมากขึ้น  แต่ถ้าได้อ่านแล้วและได้ไปในสถานที่จริงที่ได้เคยอ่านในพระคัมภีร์หรือพระวรสาร  จะทำให้ได้รับอะไรต่าง ๆ อีกมากมาย  ไม่ว่าความเชื่อและความศรัทธา  ความอิ่มใจ  ความรักในความเป็นคริสตชนมากขึ้นด้วยเช่นกัน  ผู้เขียนเองไม่คิดฝันมาก่อนเลยว่าจะได้ไปแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์  แต่เมื่อมีโอกาสจึงเตรียมตัวในการแสวงบุญนี้อย่างดี  เริ่มด้วยการเข้าเงียบ  รับศีลอภัยบาป ไม่ใช่เพราะกลัวว่าจะตายกลางทาง  แต่คิดว่าเมื่อเราไปแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ เดินตามรอยพระคริสตเจ้า  เราก็ควรเป็นคนที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้   ก่อนไปได้มีการปฐมนิเทศผู้ที่ไปในกลุ่มเดียวกัน  มีคุณพ่อ 2 องค์  ซิสเตอร์ 7 รูปและฆราวาสทั้งที่เป็นคาทอลิกและไม่เป็นคาทอลิกอีก 25 คน เมื่อเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว การเดินทางก็เริ่มขึ้น

18  กุมภาพันธ์  2555
ลูกทัวร์ทุกคนพร้อมกันที่สนามบินสุวรรณภูมิเวลา 20.30 น.  ผมเองนับว่าโชคดีที่มีคุณพ่อสมเกียรติเป็นผู้นำทัวร์ครั้งนี้   คุณพ่อได้ช่วยเหลือผมหลายอย่าง เมื่อเช็คดูแล้วที่อิสราเอลมีหิมะตก คุณพ่อก็ได้ไปยืมเสื้อกันหนาวขนเป็ด (ตัวละสองหมื่น) และผ้าพันคออย่างดีอีก 1 ผืนจากคริสตชนที่พ่อรู้จัก แถมเขายังได้ฝากเงินใช้ส่วนตัวให้อีก 500 เหรียญ  เราออกเดินทางจากบ้านเณรแสงธรรมไปถึงสนามบินก่อนเวลาเล็กน้อย  แวะทานข้าวเย็นก่อน  เนื่องจากเครื่องออกเที่ยงคืน  เมื่อรวมกันตามเวลาที่นัดหมายแล้ว  ลำดับต่อไปคือ การตรวจสอบก่อนที่จะเข้าไปในสนามบิน  ประเทศอิสราเอลเป็นประเทศเดียวที่ต้องสัมภาษณ์ผู้โดยสารทุกคน  เพราะเขาต้องการเช็คความปลอดภัยเต็มที่  คนแรกที่ถูกสัมภาษณ์คือพ่อสมเกียรติ  ส่วนผมเป็นคนที่สองตามลำดับรายชื่อ สิ่งที่ถามคือ ไปทำอะไร  รู้จักกันในกลุ่มมากน้อยแค่ไหน  จัดกระเป๋าเองหรือเปล่า  มีคนฝากของไหม  จะไปพักที่ไหน กี่วัน ฯลฯ ซึ่งเราก็ต้องตอบตามความเป็นจริง  ขั้นตอนนี้ถือว่าเสียเวลามากที่สุด  แต่เมื่อผ่านขั้นตอนนี้แล้ว ทุกอย่างจะสะดวก เนื่องจากสมาชิกของเรามี  34 คน กว่าจะผ่านด่านได้ใช้เวลากว่า 2 ชั่วโมง  เมื่อเข้าไปในสนามบินเพื่อรอขึ้นเครื่อง  มีการตรวจสอบซ้ำอีกเพื่อความมั่นใจ  เวลา 00.20 น. เครื่องบินออกจากสนามบินสุวรรณภูมิเพื่อตรงไปยังเมืองเทลอาวีฟ เมืองหลวงของอิสราเอล การเดินทางใช้เวลา 11 ชั่วโมงโดยไม่ได้จอดกลางอากาศที่ไหน  ที่ต้องใช้เวลาขนาดนี้  เพราะอิสราเอลไม่ถูกกับชาติอาหรับ  จึงไม่สามารถบินผ่านน่านฟ้าประเทศอาหรับเหล่านั้นได้  จึงต้องบินในทะเลเท่านั้น  อิสราเอลกับประเทศไทยเวลาห่างกัน 5 ชั่วโมง  เราออกจากเมืองไทยเที่ยงคืนของวันเสาร์  ของเขาก็เท่ากับ 1 ทุ่มของวันศุกร์  เพราะฉะนั้นการเดินทางในวันเที่ยงคืน เสาร์ของเรา ไปถึงที่อิสราเอลเช้าวันอาทิตย์ซึ่งตรงกับประเทศไทย 11 นาฬิกา  เมื่อถึงสนามบินเรียบร้อยการตรวจต่าง ๆ ผ่านไปด้วยดี  ที่สนามบินไกด์ที่จะพาเราไปได้รอพบเราที่นั่นก่อนแล้ว  เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย  ก่อนออกจากสนามบินทุกคนต้องใส่เสื้อกันหนาวอย่างเต็มที่  เพราะอุณหภูมิประมาณ 10 องศาแถมฝนตกด้วย  พวกเราหลายคนบ่นว่าฝนตก  แต่ไกด์บอกว่านึ่คือพระหรรษทานและพระพรของพระเจ้า  เพราะประเทศอิสราเอลนั้นมีแต่ทะเลทราย  เมื่อมีน้ำฝนถือว่าพระเจ้าอวยพร  ฉะนั้นเราจึงต้องเปลี่ยนทัศนคติใหม่ทันที  เมื่อขึ้นมาบนรถเจ้าของบริษัทก็มาทักทายพวกเรา และยินต้อนรับสู่แผ่นดินศักดิ์สิทธิ์
         เนื่องจากว่าเราทานข้าวเช้าก่อนที่เครื่องจะร่อนลง  เพราะฉะนั้นเรามีโปรแกรมที่ต้องออกเดินทางเยี่ยมตามที่ต่าง ๆ ทันที  เป้าหมายแรกคือ เมืองโบราณเซซาเรีย สร้างโดยกษัตริย์เฮโรด มหาราช เมื่อปี 20 ก่อนคริสตกาล  ใช้เวลาสร้าง 12 ปีโดยวิศวกรผู้เชี่ยวชาญในสมัยนั้น  เป็นเมืองที่สวยที่สุดเมืองหนึ่งในปาเลสไตน์และเป็นเมืองท่าที่สำคัญด้วย  มีสถานที่ราชการ  สักการะสถานที่ทำด้วยหินอ่อนสวยงาม มีโรงละครกว้างใหญ่ที่ใช้ชมการแสดงกลางแจ้งและสนามม้า  มีการหย่อนก้อนหินลงในทะเลเพื่อสร้างเป็นเขื่อนรูปครึ่งวงกลมกว้างถึง 200 ฟุต  เฮโรดตั้ชื่อเมืองว่าเซซารียาห์ เพื่อเป็ฯเกียรติแด่ซีซาร์ ออกัสตัส  หลังยุคของเฮโรดเมืองนี้ถูกปกครองโดยโรมัน  ปอนทิอัส ปีลาตได้อาศัยอยู่ที่นี่  และเป็นเมืองหลวงของชาวโรมันที่ปกครองปาเลสไตน์กว่า 500 ปี ปีค.ศ. 66 ได้มีการต่อสู้กันระหว่างชาวยิวและชาวซีเรียที่ได้รับความช่วยเหลือจากโรมัน  การฆาตกรรมชาวยิว 20,000 คน ได้กลายเป็นเหตุแห่งการกบฏครั้งยิ่งใหญ่ของชาวยิว  ซึ่งลงท้ายด้วยการทำลายพระวิหารหลังที่สองในปี 69  ในศตวรรษที่ 3 โอริเจนได้ก่อตั้งสถานศึกษาด้านศาสนาที่สำคัญ  ต่อมา ปี 638 เมืองเซซารียาได้ตกอยู่ในความครอบครองของมุสลิม และในปี 1102 ถูกยึดจากพวกครูเสด และต่อมาปี 1252 กษัตริย์หลุสย์ที่ 9 แห่งฝรั่งเศส ได้สร้างกำแพงและคูน้ำเพื่อป้องกันเมืองนี้ไว้  กว้าง 30 ฟุต สูง 30-45 ฟุต  แต่ในปี 1291 ก็ได้ถูกทำลายสิ้น จนในที่สุดอยู่ใต้กองทรายที่ลมพัดมาทับทม  ต่อมาในปี 1956  นักโบราณคดีเริ่มขุดเมืองเซซารียาขึ้นใหม่  ได้พบซากปรักหักพังและวัตถุโบราณที่สวยงาม  อีกทั้งพบโรงละครกลางแจ้งยุคโรมันและมีการบูรณะและใช้เป็นสถานที่แสดงดนตรี  มีระบบน้ำที่นำมาจากแหล่งกำเนิดจากภูเขาที่ห่างไกลระยะทาง 12ไมล์มาสู่เมือง  มีสนามม้ายาว 1,000 ฟุต พร้อมที่นั่งสำหรับผู้คน 20,000 คน ซึ่งที่นี่ก่อนที่จะไปดูตามที่ต่าง ๆ จะมีการฉายวิดีโอประวัติของสถานที่ให้เห็นภาพก่อน  จากนั้นก็เดินชมสนามประลองความเร็วด้วยรถม้า  ซึ่งเป็นที่ที่จะบอกได้ว่าที่นี่ไม่มีผู้แพ้  เพราะผู้ที่แพ้จุดหมายคือความตายเท่านั้น 
         จากเซซาเรีย ต่อไปยังเมืองไฮฟา การเดินทางเลียบเทือกเขาคาร์เมลที่ซึ่งเราเคยได้ยินในพระคัมภีร์สมัยประกาศเอลียาห์ วันนี้ได้เห็นของจริง ภูเขาคาร์เมล์มีความกว้าง 4-5 ไมล์ ยาว 16 ไมล์ ชื่อมาจากภาฮีบรูซึ่งแปลว่า “สวนองุ่นของพระเจ้า” เป็นเทือกเขาที่เขียวชะอุ่มตลอดปี  จากที่เคยคิดว่าในอิสราเอลมีแต่ภูเขาเตี้ย ๆ แต่วันนี้ไม่ใช่แล้ว  เมื่อมาถึงบนภูเขาคาร์เมล  เราก็เขาไปสวดภาวนาในวัดแม่พระแห่งดาราสมุทร และในวัดนั้นมีถ้ำที่ประศกเอลียาห์หนีจากการตามล่าของกษัตริย์อาหับซ่อนตัวอยู่ที่นั่น ที่นี่คณะคาร์แมล์ไลท์ได้มาตั้งอยู่ในศควรรษที่ 13 โดยมีประกาศกเอลียาห์เป็นองค์อุปถัมภ์ จากที่นี่เราต่อไปยังสวนของศาสนาบาไฮ ซึ่งเป็นศูนย์กลางใหญ่ของศาสนานี้  ศาสนาบาบาไฮไม่ได้มีอะไร  นอกจากการนิ่งสงบอยู่กับตัวเอง  ไม่มีบทสวด ไม่มีพระ  แต่เป็นสถานที่ตกแต่งสวยงามมาก ว่ากันว่าสวนนี้สร้างด้วยเงิน 250 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นเงินจำนวนมหาศาล   เมื่อออกจากที่นี่เราก็ตรงไปที่ภัตรคารจีนสำหรับอาหารเที่ยง 
           หลังอาหารเที่ยงเดินทางสู่นาซาแรธ  สถานที่พระเยซูเจ้าทรงเจริญวัย  ซึ่งห่างจากภูเขาคาร์เมล์ 80 กม. ซึ่งตั้งอยู่บนเนินเขา   และเป็นเมืองศักดิ์สิทธิ์ที่สุดแห่งหนึ่งในแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์  ตั้งอยู่เหนือระดับน้ำทะเล 1,230 ฟุต  เราไม่ทราบว่าเมืองนาซาแรธเริ่มต้นเมื่อใด  สมัยพระเยซูเจ้าเป็นตำบลที่ใหญ่แล้ว ในปี 66 ถูกทำลายโดยจักรพรรดิ์เวสปาเซียน ในปี 629 ชาวยิวถูกไล่จากนาซาแรธ  เพราะไปเข้ากับเปอร์เซียนในการต่อสู้กับคริสตชน  ในสมัยของครูเสด  เมืองนาซาแรธได้มีการฟื้นขึ้นใหม่  กษัตริย์ตันเกเดอร์ ผู้ได้รับสมญานามว่า “เจ้าฟ้าแห่งกาลิลี” ได้สร้างวัดและอารามขึ้นใหม่  ในปี 1187 ถูกยึดจากซาลาดิน  ศตวรรษต่อมาก็ถูกทำลาย หลังจากนั้นกลายเป็นที่มุสลิมอยู่กว่า 400 ปี  ในปี 1620 มีครอบครัวคริสตชนมาตั้งหลักแหล่ง ณ ที่นี้ ทำให้เมืองขยายตัวมากขึ้นเรื่อย ๆ  ปัจจุบันที่นาซาแรธมีหมู่คณะชาวอาหรับที่ใหญ่ที่สุดในอิสราเอล (35,000 คน) ส่วนใหญ่เป็นคริสตชน   เราเยี่ยมชมวัดแม่พระรับสาร มีรูปแม่พระจากประเทศต่าง ๆ มากมาย แม้แต่ประเทศไทยของเราซึ่งเป็นแม่พระใส่ชุดไทย  วัดนี้มีสองชั้น  ชั้นล่างเป็นบ้านของแม่พระ  ปัจจุบันเป็นวัดน้อย  มีกลุ่มหนึ่งกำลังทำมิสซาอยู่  ชั้นบนเป็นวัดใหญ่  ตกแต่งด้วยกระจกสีสวยงามมาก   ห่างจากวัดแม่พระประมาณ 50 เมตรเป็นวัดนักบุญยอแซฟ (บ้านนักบุญยอแซฟ) ที่วัดนี้ก็มีกลุ่มกำลังทำมิสซาเช่านกัน   ออกจากที่นี่เราก็ไปหมู่บ้านคานา  สถานที่ที่พระเยซูเจ้าทรงทำอัศจรรย์ครั้งแรก ทรงเปลี่ยนน้ำเป็นเหล้าองุ่น   ที่นี่เราจะทำมิสซา และมิสซาในเย็นนี้มีคู่แต่งงานที่รื้อฟื้นศีลสมรสด้วย  คู่สามีภรรยาที่มาที่นี่ส่วนใหญ่จะรื้อฟื้นศีลสมรสกัน  นี่เป็นมิสซาแรกในแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ของผม   ผมนับว่าโชคดี เพราะทัวร์นี้ผมได้เป็นประธานมิสซาทุกวัน    เนื่องจากคุณพ่อสมเกียรติบอกว่าพ่อไปมา 15 ครั้งแล้ว ได้ทำมิสซามาเกือบทุกที่  เพราะฉะนั้นให้ผมเป็นประธานและพ่อจะเป็นผู้เทศน์เอง  ผมรู้สึกว่าโอกาสอย่างนี้หายาก  หากพวกเรามากันในหมู่พระสงฆ์ คงจะมีการแย่งกันเป็นประธานแน่  หลังจากมิสซาเราก็แวะชิมเหล้าองุ่นที่เมืองคานา  ซึ่งอย่างตรงหน้าวัด  (ซิมฟรี) ก่อนออกจากร้านไกด์ได้นำเหล้าองุ่น 2 ขวดเล็กมาให้พ่อเป็นของที่ระลึก  จากนั้นเราก็กลับไปที่พัก ที่โรงแรม Rimonim  Mineral  Tiberias  เป็นโรงแรมที่อยู่ติดทะเลสาบกาลิลี 

เมืองทีเบเรียส
            เมืองนี้ตั้งอยู่ในระดับ 682 ฟุตตรดับน้ำทะเล  ถูกสร้างขึ้นในปี 26 โดยเฮโรด อากริปปา ซึ่งได้ตั้งชื่อว่า “ทีเบเรียส” เพื่อเป็นเกียรติแด่จักรพรรดิ โรมันทิเบรีอัส  เป็นเมืองสวยงาม  มีวิหารทองคำและหินอ่อน  มีสถานที่อาบน้ำพุร้อน  ทีเบเรียสไม่ใช่ใช่เมืองในพระคัมภีร์  แต่เป็นเมืองศักดิ์สิทธิ์ของชาวยิว  เพราะหลังจากการปราบกบฏในสมัยจักรพรรดิเอเดรียน  เมืองทีเบเรียสก็เป็นเยรูซาเล็มที่ 2 ของชาวยิว

20  กุมภาพันธ์  2555
           คืนแรกที่อิสราเอลผมตื่นเช้ามาก  ประมาณตีห้าครึ่งผมก็ออกเดินไปข้างนอกตามท้องถนนที่เลียบทะเลสาบกาลิลี  เพราะโรงแรมของเราอยู่ติดกับทะเล  และด้านหลังโรงแรมเป็นภูเขา  ซึ่งบรรยากาศดีมาก  อากาศก็หนาวมากเช่นกัน  ได้ออกเดินตามถนนพร้อมกับกล้องคู่ใจ  เพื่อเก็บภาพบรรยากาศในตอนเช้าของชาวอิสราเอล  เมืองนี้รถไม่แออัดเท่าไหร่  ที่สังเกตเห็นคือผู้คนมีมิตรไมตรี  จะหยุดรถเมื่อเห็นคนกำลังจะข้ามถนน  การเคารพกฎจราจรเป็นเรื่องที่ต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด  ผมถือโอกาสให้คนที่วิ่งออกกำลังกายตอนเช้าช่วยถ่ายรูปให้ด้วย
ทุกเช้าเราจะมีสูตรว่า  ตื่นหกโมง    อาหารเจ็ดโมง  และแปดโมงล้อหมุน  เพราะฉะนั้นเช้านี้ทุกคนปฏิบัติตามระเบียบอย่างเคร่งครัด  เพื่อที่ทุกอย่างจะดำเนินตามโปรแกรมที่วางไว้   อย่างไรก็ตาม  เนื่องจากพยากรณ์อากาศบอกว่าวันนี้อากาศใส  การเดินทางไปภูเขาเฮอร์โมนจะได้เห็นหิมะและสัมผัสหิมะได้  ฉะนั้นเราก็เลื่อนโปรแกรมจากพรุ่งนี้มาเป็นวันนี้แทน   ภูเขาเฮอร์โมนตั้งอยู่เหนือที่ราบสูงโกลัน เป็นชายแดนระหว่างอิสราเอล เลบานอนและซีเรีย  มีความยาว 32 กม. สูง 2,810 เมตร เป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำจอร์แดน  ยอดเขามีหิมะปกคลุมตลอดปี    เมื่อทุกคนได้ยินว่าจะไปสัมผัสหิมะ  ต่างคนต่างก็เตรียมเสื้อกันที่ดีที่สุด  ส่วนผมเองก็เอาตัวราคาสองหมื่นออกมาใช้ทันที 
เมื่อทุกคนพร้อมการเดินทางในวันที่ 2 ก็เริ่มขึ้น  ระยะทางประมาณ 120 กม.จากที่พัก  ระหว่างการเดินทางไกด์ได้อธิบายถึงสถานที่สองข้างทางว่า  เป็นที่ราบสูงโกลัน  ครั้งหนึ่งเป็นของซีเรีย  แต่เมื่อเกิดสงครามระหว่างอิสราเอลกับอาหรับ  อิสราเอลสามารถยึดได้  ทุกวันนี้ยังเป็นของอิสราเอล และสองข้างทางเราเห็นค่ายทหารอิสราเอลเป็นระยะๆ  และข้างทางมีเครื่องหมายบอกเป็นระยะว่ายังมีทุ่นระเบิดอยู่  ยิ่งวิ่งใกล้ภูเขาเฮอร์โมนมากเท่าไหร่  เราก็ได้เห็นหิมะชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น  ดูไกล ๆ เห็นแต่ภูเขาสีขาว  เมื่อมาถึงที่หยุดพัก (ยังไม่ถึงภูเขา) เพราะต่อไปทางแคบรถจอดไม่ได้  มีตรงนี้เท่านั้นที่ให้เราลงมาสัมผัสหิมะได้  ทุกคนลงไปพร้อมกับเสื้อกันหนาวอย่างหนา  ผมได้มีโอกาสใช้เสื้อกันหนาวตัวสองหมื่นที่นี่  ซึ่งไม่ผิดหวัง  เมื่อทุกคนถ่ายรูปกันอย่างจุใจแล้ว  ก็เดินทางต่อไป คราวนี้เราจะฝ่าดงหิมะจริง ๆ แต่เราไม่ได้ลงไปสัมผัสแล้ว  ซึ่งข้างทางมีหิมะหนามาก  รถยนต์บางคันถูกหิมะปกคลุมหนากว่าคืบหนึ่ง  ฝ่าดงหิมะไปเรื่อย ๆ มุ่งไปสู่สถานที่ที่เป็นต้นกำเนิดแม่น้ำจอร์แดน  เราเคยจินตนาการว่าแม่น้ำจอร์แดนคงจะเป็นแม่น้ำใหญ่โต  แต่จริง ๆ แล้วเป็นแม่น้ำสายเล็ก อาศัยหิมะละลายกลายเป็นแม่น้ำ  ความกว้างไม่เกิน 2 เมตร เพราะเวลารถวิ่งผ่านถ่ายรูปยังไม่ทันเลย  และในประเทศอิสราเอลมีแม่น้ำจอร์แดนเท่านั้นที่อาจจะบอกว่าใหญ่ที่สุดและไหลลงสู่ทะเลสาบกาลิลี    ผ่านภูเขาเฮอร์โมนตรงไปยังเซซาเรียแห่งฟิลิปปี ซึ่งเป็นสถานที่ถวายพระเกียรติแด่จักรพรรด์ซีซาร์แห่งโรม  เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางงศาสนาของพวกกรีกมาก่อน  พอโรมันเข้ามามีอำนาจก็ยึดเป็นที่ทางศาสนาเช่นกัน  และชาวคานาอันยังเคยใช้เป็นสถานที่บูชาเทพธิดาแห่งความอุดมสมบูรณ์ 
           จากจุดกำเนิดแม่น้ำจอร์แดน เราขึ้นไปบนภูเขาเพื่อชมป้อมปราการ นิมโรต  ถูกสร้างขึ้นในปี 1228  เป็นคุกที่หรูหราสำหรับขุนนางชาวเติร์กที่ได้รับการเนรเทศไปยังปาเลสไตน์ เมื่อเห็นป้อม  ผมรู้สึกทึ่งกับความพยายามของคนสมัยก่อนมาก  เพราะหินแต่ละก้อนที่ซ้อนกันนั้น  แต่ละก้อนหนักหลายร้อยกิโล แต่พวกเขาเอาไปไว้บนยอดเขาได้อย่างไร และ จากที่นี่เรากลับมาทานอาหารเที่ยงในเมือง
            หลังอาหารเที่ยง เราไปต่อที่ภูเขาทาบอร์  สถานที่พระเยซูเจ้าจำแลงพระกาย มีประกาศกเอลียาห์และโมเสส ปรากฏตัวด้วย  ที่นี่เราจะต้องขึ้นภูเขา  เส้นทางคดเคี้ยวมาก  รถใหญ่เข้าไม่ได้  เราจึงต้องรอรถตู้  เนื่องจากมีคนมามาก  เราจึงต้องรอคิวขึ้นไปจึงต้องใช้เวลารอนิดหน่อย  เมื่อขึ้นไปถึงเราเข้าไปในวัดมีกลุ่มหนึ่งทำมิสซาอยู่  และคิวต่อไปเป็นกลุ่มของเกาหลี  แต่เนื่องจากว่า  เกาหลีมาช้า  เราเลยเสียบแทน ทำมิสซาก่อน  จบมิสซาของเราแล้วเขาพึ่งจะมา  (จริง ๆ ในตารางวันนี้ไม่ใช่ทำมิสซาที่นี่)  วัดหลังนี้สร้างโดยมีโดม 3 โดม แทนพลับพลาสามหลังที่บรรดาอัครสาวกคิดจะสร้างให้พระเยซูเจ้า โมเสส และเอลียาห์    เสร็จจากที่นี่เราก็กลับไปที่พัก

21  กุมภาพันธ์  2555
            ตามเวลาเดิมออกเดินทาง  เช้านี้มุ่งไปที่ภูเขาวิหารมหาบุญลาภ  ที่ที่พระเยซูเช้าได้เทศนาครั้งแรก  และเช้านี้เราได้ทำมิสซาตอนเช้า  และไม่สามารถทำมิสซาในวัดได้  แต่นอกวัดมีสถานที่สำหรับทำมิซสาอยู่หลายจุด บรรยากาศบนภูเขาดีมาก  เพราะมองลงไปข้างล่างนั้นเป็นทะเลสาบกาลิลี  ซึ่งเราจะลงไปหลังมิสซา  หลังมิสซาเราเข้าไปสวดในวัดมหาบุญลาภ  เสร็จแล้วก็เดินไปรอบ ๆ วัด ถ่ายรูปกัน  เมื่อเสร็จจากที่นี่  เราก็ตรงลงไปที่ริมทะเลสาบกาลิลี  เพื่อขึ้นเรือล่องไปในทะเล  จำลองบรรยากาศของพระคริสตเจ้าเดินบนน้ำและห้ามลมพายุ  เมื่อวานก่อนไกด์ได้บอกว่า  เมื่อเรามาที่นี่เราถือว่าเป็นผู้มีความเชื่อ  แต่จะมีความเชื่อมากแค่ไหนก็ต้องทดสอบด้วยการเดินบนน้ำ  จึงหาอาสาสมัคร  ทุกคนก็บอกให้ผมเป็นตัวแทน  เมื่อขึ้นและล่องไปตามทะเล  สิ่งแรกคือเราเอาธงชาติไทยขึ้นเสา  พร้อมกับเปิดเพลงชาติไทย  หลังจากนั้นเจ้าของเรือที่เป็นนักร้อง  ได้ต้อนรับเราได้บทเพลง Amazing grace ไพเราะมาก   หลังจากนั้นไกด์ได้เตรียม เสื้อชูชีพให้ผมใส่  เอาอุปกรณ์ต่าง ๆ    ออก  เตรียมพร้อมที่จะเดินบนน้ำ  เราทั้งสองก็คล้องแขนกัน ทำท่าว่าจะวิ่งกระโจนลงน้ำ  แต่ในมือไกด์ถือน้ำแก้วหนึ่ง  เมื่อเราวิ่งสองก้าวไกด์ก็เทน้ำออก  เราก็เดินบนน้ำที่อยู่บนเรือ  สรุปแล้วเราก็เดินบนน้ำได้แต่ไม่ใช่ในทะเล  เมื่อออกทะเลไปสักพักประมาณหนึ่งชั่วโมง  เราก็เดินทางกลับมาขึ้นฝั่ง  เพื่อไปทานอาหารเที่ยง  วันนี้เมนูเด็ดคือปลานักบุญเปโตร  เมื่อไปถึงภัตรคาร  ก่อนอาหารหลักจะอาหารมารองท้องก่อน  ส่วนใหญ่จะเป็นสลัด ที่นี่อุดมสมบูรณ์มากในเรื่องผักผลไม้ (ส้ม)  ภัตรคารที่เรามาทานอาหารนี้อยู่ริมทะเลสาบกาลิลี  เป็นที่ที่นากยกรัฐมนตรีอิสราเอลและกษัตริย์ฮุสเซนแห่งจอร์แดนทำสัญญามิตรภาพกัน
        ตอนบ่ายเราเข้าไปที่แม่น้ำจอร์แดนที่ที่นักบุญยอห์บัปติส์ตทำพิธีล้างให้พระเยซูเจ้า   ที่นี่มีคนจำนวนมากมารื้อฟื้นพิธีศีลล้างบาป  สามารถเปลี่ยนชุดสีขาวลงไปจุ่มตัวในน้ำได้  แต่กลุ่มของเราไม่มีใครทำ  เพราะอากาศหนาว  น้ำเย็นมาก  มีแค่บางคนเท่านั้นที่ตักน้ำเทลงบนศีรษะโดยคุณพ่อสมเกียรติ  จากที่นี่เราวนขวาทะเลสาบกาลิลีเพื่อไปชมเมืองคาร์เปอนาอุม  เยี่ยมชมบ้านนักบุญเปโตร รวมทั้งตึกร้างสร้างสมัยโรมัน   ศาลาธรรมของชาวยิว  จากนั้นไปที่วัดพระเยซูเจ้าทวีขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวเลี้ยงคนจำนวน 5 พันคน  และสุดท้ายก่อนกลับโรงแรมแวะไปที่วัดที่พระเยซูเจ้าแต่งตั้งนักบุญเปโตรให้ดูแลพระศาสนจักรแทนพระองค์  อยู่ริมทะเลสาบ ที่นี้เป็นที่ที่เดียวที่เราสามารถสัมผัสทะเลสาบกาลิลีบนชายหาด  จากที่นี่เราก็กลับโรงแรม

22  กุมภาพันธ์  2555
             เราใช้เวลา 3 วันอยู่ทางเหนือของประเทศ  วันนี้เราจะกลับไปเยรูซาเล็ม  โดยออกทางชายแดนระหว่างอิสราเอลกับจอร์แดน  โดยมีแม่น้ำจอร์แดนเป็นเส้นแบ่งเขตแดน  เราออกจากทีเบเรียส  วิ่งทางฝั่งทะวันออกของประเทศอิสราเอล  ล่องใต้ลงมา  เราสามารถเห็นความแตกต่างของสองประเทศอย่างชัดเจน  ในพื้นที่ลักษณะเดียวกัน  ฝั่งอิสราเอลเต็มไปด้วยผลไม้  พืชพันธ์เขียวชะอุ่ม  แต่ฝั่งจอร์แดนนั้นแห่งแล้งกันดาร  รถวิ่งลงมาเรื่อย ๆ ระหว่างทางในรถก็มีการแนะนำตัวกัน  ทัวร์ของเราครั้งนี้มีคนที่ไม่ใช่คาทอลิกมาด้วย  สมาชิกมีทั้งอัยการ  คุณหมอ  ผู้ตรวจบัญชี  ซิสเตอร์  คุณพ่อ  และฆราวาส เช่นกันในระหว่างทางเรามีด่านทหารเป็นระยะ  เพื่อความปลอดภัย  ยิ่งลงมาเรื่อย ๆ พื้นที่ก็เริ่มแห้งแล้งมากขึ้น มองไปทางขวาซึ่งอยู่ใกล้กว่าเป็นถิ่นทุรกันดาร  ไม่มีต้นไม้แม้แต่ต้นเดียวมีแต่ดินกับหินเท่านั้น  จากทีเบเรียสไปยังเมืองเยรีโคนั้นระยะทาง 120 กม.  เมืองเยรีโคนี้ได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่เก่าแต่ที่สุด  เพราะถูกอ้างถึงในสมัยโยซูวา  เวลานี้ก็เป็นเมืองเยรีโคเหมือนเดิมและปัจจุบันอยู่ในเขตปกครองของปาเลสไตน์ เมืองเยรีโคตั้งอยู่ในหุบเขาจอร์แดน  ลักษระคล้ายท้องะทะ  ทางเหนือเริ่มจากภูเขาเฮอร์โมน ลงไปถึงทางใต้ถึงอ่าวกะทะคิดเป็นความยาว 280 ไมล์ ส่วนที่ตำสุดของหุบเขานี้คือทะเลตาย  ตั้งอจู่ 1,300 ฟุตใต้ระดับน้ำทะเล  เป็นจุดที่ต่ำที่สุดในโลก  เมื่อถึงเมืองเยรีโคเป้าหมายแรกคือทำมิสซาพุธรับเถ้าที่วัดพระเยซูเจ้านายชุมภาบาล  เมื่อเสร็จจากมิสซา  เราขึ้นกระเช้าขึ้นไปบนภูเขาที่พระเยซูเจ้าถูกประจญ  ในศตวรรษที่ 6 มีการสร้างวัดตามถ้ำ  และถูกทิ้งร้างไปจนถึงศตวรรษที่ 13   แต่ในปี 1847  ฤาษีกรีกออร์โธดอกซ์  ได้มาตั้งสำนักอยู่และสร้างอารมขึ้นมา สร้างติดหน้าผา  สมัยหนึ่งผู้ที่เคร่งศาสนาก็ไปขุดโพรงจำศีลอยู่  บางคนก็ตายในโพรงเพราะไม่มีใครส่งเสบียงอาหารให้  ที่นี่ต้องรอคิวเพื่อที่จะเข้าไปในวิหารของออร์โธดอกซ์ใช้เวลานานพอสมควรกว่าจะได้เข้าไป  ข้างในของวิหารมีรู้ไอคอนมากมายที่สวยงาม  เมื่อชมไปรอบ ๆ เสร็จแล้วเรากลับมาที่ร้านอาหารการประจญ  เป็นอาหารเลือกกินตามสบาย และที่นี่เป็นร้านอาหารและห้างสรรพสินค้าที่เดียวในเมืองที่อยู่ในทะเลทราย  หลังอาหารทุกคนเลือกซื้อของกินของใช้ตามสบาย  แต่ต้องคิดเผื่อน้ำหนักของที่จะเอากลับไปบ้านด้วย  เพราะสายการบินนั้นอนุญาตน้ำหนักกระเป๋าแค่ 23 กก.เท่านั้นถ้ามากกว่านั้นต้องเสียเงินเพิ่ม  ฉะนั้นแม้อยากได้ของมากมายแต่ก็ไม่สามารถซื้อตามใจปรารถนาได้  เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยเราก็เดินทางต่อไปที่กุมราน  ที่ที่ชาวเบดูอินได้ค้นพบต้นฉบับพระคัมภีร์ในถ้ำที่บรรจุไว้ในไหในปี 1947 ข้างในไหมีหนังสือม้วนที่มีแต่อักษรที่พวกเขาอ่านไม่ออก จึงมาขายต่อให้คริสตชน  ครสิตชนคนนั้นจึงนำม้วนหนังสือนี้ให้พระสังฆราชที่กรุงเยรูซาเล็มดู  ท่านรู้ว่าเป็นภาษากรีกโบราณที่บันทึกพระคัมภีร์จึงซื้อต่อไว้ทันที  ในปี 1949  จึงำไปที่สหรัฐมีศาสตรจารย์ อีคาแอล ยา-ดิน ได้ซื้อต่อในราคา 250,000 เหรียญ  หนังสือนี้ทำมาจากกระดาษต้นกก มี 2 ม้นที่จารึกบนแผ่นทองเหลือง
 ใช้เวลาที่ประมาณชั่วโมง  เป้าหมายต่อไปคือทะเลตาย  ทะเลตายมีความยาว 47 ไมล์ กว้าง 10 ไมล์ มีพื้นที่ 360 ตารางไมล์ มีอัตราความหนาแน่นเฉพาะมากที่สุด 26%  อยู่กว่าระดับนำทะเลทั่วไป 1,300 ฟุต ทะเลตายมีสสารอยู่มากที่สุด  เพราะน้ำไม่ได้ระบายออก  มีแต่ระเหยออกไปเท่านั้น  ประเทศอิสราเอลห่างกันไม่กี่ร้อยกิโลเมตรมีอะไรที่แตกต่างกันมาก  ทางเหนือสุดมีหิมะปกคลุม  ลงมาอีก 120 กม.มีทะเลสาบน้ำจืด  ลงมาอีก 120 กม.มีทะเลตายซึ่งเป็นทะเลที่เค็มที่สุดที่คนลงไปนอนแล้วไม่จม  โคลนที่นี่ใช้พอกตัวทำให้ผิวหนังนุ่มนวล  แต่ผมคิดว่าของแท้ย่อมดีกว่าเสมอ  จึงไม่จำเป็นต้องพอกตัว   แต่ที่อยากคืออยากจะพิสูจน์เช่นกันว่าในทะเลตายนั้นเราลอยได้  แต่ที่ต้องระวังคืออย่าให้น้ำเข้าตา  เพราะความเค็มของน้ำจะทำให้เกิดความเจ็บปวดได้  ก่อนที่จะมาที่ทะเลตายเรารู้มาก่อนแล้วเพราะนั้นทุกคนก็เตรียมชุดสำหรับเล่นน้ำ  เมื่อไปถึงต่างคนต่างไปเปลี่ยนชุดและรีบวิ่งลงไปในทะเล  แต่การลงทะเลที่นี่  ต้องลงแบบถอยหลังไม่ใช่ดำลงไป  ไม่เช่นนั้นผมอาจจะหายไปเลยก็ได้   เราก็เดินถอยหลังลงไปแล้วนอนลง  เป็นจริงอย่างที่เขาว่า  สามารถลอยได้จริง ๆ  แต่เราไม่สามารถอยู่ในน้ำได้นาน เพราะความเข้มของเกลือและอากาศที่หนาวเย็น  แม้จะเป็นทะเลทรายแต่อากาศในช่วงนี้หนาวมาก  เพราะฉะนั้นเราจึงใช้เวลาที่นี่ไม่นานเท่าไหร่  ประมาณครึ่งชั่วโมงทุกคนก็กลับมาที่รถหมดแล้ว  เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยเราก็มุ่งสู่กรุงเยรูซาเล็ม  เมื่อถึงเยรูซาเล็มเราก็เข้าพักที่ Dan Jerusalem Hotel

23  กุมภาพันธ์  2555
           เช้านี้เราต้องตื่นเร็วกว่าปกติครึ่งชั่วโมง  เพราะสถานที่ที่เราจะไปนั้นสำคัญและมีคนมาก  เราจึงออกจากโรงแรม  07.30 น. มุ่งไปกรุงเยรูซาเล็ม  กรุงเยรูซาเล็มเป็นเมืองที่พระเจ้าเลือกสรรไว้  ให้เป็นป้อมแห่งความเชื่อถึงพระเจ้า  จากเนินเขาที่โล่งแจ้งนี้บรรดาประกาศกแลพระคริสตเจ้าทรงปรกาศคำสอนของพระเจ้าและบัญญัติแห่งความรัก  เมืองนี้เป็นเมืองแห่งศาสนา  เพรื่องครึ่งหนึ่งของประชากรโลกความเชื่อเริ่มต้นจากที่นี่ ไม่ว่าคริสต์ มุสลิมหรือยิว   สำหรับเราคริสตชนเป็นที่ที่พระเยซูเจ้าประกอบภารกิจสุดท้ายก่อนสิ้นพระชนม์   กรุงเยรูซาเล็มเมืองศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในโลกยังได้เป็นเมืองที่ทารุณโหดร้ายแห่งสงครามและการหลั่งเลือด  ณ ประตูเมืองแห่งนี้มีการสู้รบมากกว่าเมืองอื่น ๆ ในโลก  กรุงเยรูซาเล็มถูกล้อมกรอบมกาว่า 50 ครั้ง ถูกยึดถึง 34 ครั้งและถูกทำลายมากว่า 10 ครั้ง  ไม่มีผู้ใดทราบว่ากรุงเยรูซาเล็มมีตัวตนเกิดขึ้นเมื่อไหร่  ครั้งแรกที่พระคัมภีร์พูดถึงคือสมัยอับราฮัม โดยมีชื่อว่า “ซาเล็ม” ซึ่งแปลว่าสันติสุข (ปฐก 13:18) เมื่อเรามาถึงประตูกรุงเยรูซาเล็มฝั่งตะวันตก  เป้าหมายแรกคือโดมทองคำซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขาโมรีอา
โดมทองคำนี้ได้ครอบยอดเขาโมรีอาเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของมุสลิมพอ ๆ กับกาบะที่เมกกะและ  หลุมฝังศพของประกาศกมะหะหมัดที่เมดินาประเทศซาอุดิอาระเบีย  เป็นสุเหร่าที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของมุสลิม ตลอดระยะเวลา 13 ศตวรรษที่ผ่านมา โดมได้ครอบหินถูกซ่อมแซมหลายครั้ง  แต่รูปทรงยังคงเป็นแบบเดิม  เมื่อพวกครูเสดยึดกรุงรูซาเล็มในปี ค.ศ. 1099  สุเหร่าแห่งนี้ถูกดักแปลงเป็นอาสนวิหารของพระเจ้า หลังครูเสดพ่ายแพ้ในปี ค.ศ. 1187 กางเขนที่เคยตั้งตระหง่านอยู่กว่า 88 ปีบนยอดโดมก็ถูกย้ายออก  และนำเอาสัญญลักษณ์พระจันทร์เสี้ยวเข้ามาแทนที่  ตั้งวแต่นั้นก็กลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของมุสลิมจนถึงทุกวันนี้  รูปทรงภายนอกมี 8 เหลี่ยม แต่ละด้านกว้าง 63 ฟุต ความสูงจากพื้นดิน 180 ฟุต เส้นผ่าศูนย์กลางของโดม 78 ฟุต โดมทำด้วยอลูมะเนียมชุบทองคำกว่า 90 กก.  จุดที่ตั้งโดมทองคำ ในปฐมกาลเป็นที่ที่อับราฮัมพาอิสอัคไปถวายพระเจ้าหรือยอดเขาโมรีอานั่นเอง 
การที่จะเข้าสถานที่ที่นี้ได้ต้องผ่านการตรวจอย่างละเอียด  แม้แต่ห้อยกางเขนให้เขาเห็นก็ไม่ได้  เพราะฉะนั้นบรรดาซิสเตอร์ก็ต้องเอากางเขนไว้ในเสื้อ  อย่างที่บอกเราต้องมาแต่เช้า  เพราะขนาดที่เรามาแต่เช้าแล้วเรายังต้องไปต่อคิวอีกตั้งนาน  เมื่อผ่านเข้าไปที่ด่าน ก็จะมีสะพานยาวขึ้นไปโดยที่ล้อมกรอบด้วยไม้  ตรงทางเดินมีทหารเตรียมพร้อมเสมออยู่เป็นกลุ่มใหญ่  พวกเราก็ผ่านทหารไป  ผมก็ถือโอกาสไปถ่ายรูปกับทหารเหล่านั้นด้วย  เมื่อผ่านขึ้นไปข้างบนก็เป็นลานกว้างอยู่หน้าโดม ไกด์มี่นำเราก้ได้อธิบายให้เราเข้าใจมากขึ้นว่าที่นี่มีความสำคัญอย่างไร  มีระเบียบปฏิบัติอย่างไร ฯลฯ  สักพักมีเสียงโห่ขึ้นมาจากกลุ่มมุสลิมที่อยู่ตรงนั้น  เรามองไปเห็นทหารนำคนสองสามคนเดินชมสถานที่  ซึ่งไกด์บอกว่าเป็นชาวยิวที่ขึ้นมาดู  และพวกมุลิมไม่ชอบ ก็เลยโห่ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้  เพราะมีทหารอิสราเอลคุ้มกัน  สิ่งที่น่าแปลกคือพื้นแผ่นดินนี้เป็นประเทศอิสราเอล  แต่สงวนสถานที่นี้ไว้ให้ชาวมุสลิม  และดูแลคุ้มครองให้เต็มที่ด้วย    เนื่องจากเป็-นยอดเขาเราสามารมองออกไปรอบ ๆ ได้  และตรงข้ามกับโดมนี้  ก็เป็นสุสานของชาวยิวที่ถูกฝังไว้รอการเสด็จมาของพระแมสซิอาห์  เช่นกันตรงข้ามกับสุสานชาวยิวฝั่งที่เป็นโดม  เป็นสุสานมุสลิม  เป็นการป้องกันไม่ให้พระแมสซิยาห์ขึ้นมาที่โดมได้  จากโดมของมุสลิมเราลงมาข้างล่างเป็นสถานที่ภาวนาของชาวยิวคือ กำแพงร้องไห้
กำแพงร้องไห้ (กำแพงตะวันตก) เป็นสักการะสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวยิว  พวกเขาถือว่าเป็นพระธาตุของพระวิหารหลังสุดท้าย  กำแพงตะวันตกนี้เป็นส่วนหนึ่งของกำแพงที่กษัตริย์เฮโรดได้สร้างรอบ ๆ พระวิหารหลังที่ 2 ปีที่ 20 ก.ค.ศ.  ใน ค.ศ. 70 มหาจักพรรด์มิได้ทำลายส่วนนี้  ซึ่งสร้างด้วยก้อนหินขนาดใหญ่  เพื่อให้เป็นประจักษ์พยานแก่ชนรุ่นหลังถึงอนุภาพของทหารโรมัน  ในยุคปกครองของโรมัน  ชาวยิวไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาที่นี่  แต่สมัยไบเซนติน พวกเขาได้มาปีละครั้ง  ในวันระลึกถึงการทำลายพระวิหาร  เพื่อแสดงความทุกข์ต่อการกระจัดกระจายของชาวยิว และร่ำไห้เหนือซากของพระวิหารศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นซากกำแพงเก่าของกรุงเยรูซาเล็มที่ถูกทำลาย  ตั้งแต่ปี 1948-1967 ชาวอิสราเอลไม่สามารถเข้ามาสวดภาวนาในสถานที่นี้ได้  เนื่องจากอยู่ในการปกครองของจอร์แดน  หลังสงครามหกวัน  กำแพงร้องไห้นี้กลายเป็นสถานที่เพื่อแสดงความชื่นชมยินดีระดับชาติ  อีกทั้งเป็นสถานที่เพื่อนมัสการและภาวนา ที่นี่ชาวยิวจะมาภาวนาร่วมกัน  ในการเข้าไปที่นี่ทุกคนต้องสวมหมวกอย่างใดอย่างหนึ่ง  ถ้าไม่มีเขาก็เตรียมหมวกกิปปาให้  หมวกลักษณะคล้ายกับของพระสังฆราชที่เป็นผืนเล็ก ๆ บนศรีษะ  แต่เป็นสีขาว  เมื่อเราได้หมวกแล้ว  เราก็ไปสวดภาวนาที่กำแพงร้องให้  บรรดาชาวยิวส่วนใหญ่มาภาวนาโดยใช้พระคัมภีร์  เป็นหมู่คณะหรือเป็นบุคคลแล้วแต่สะดวก  ซึ่งทุกคนตั้งใจสวดไม่ได้สนใจใคร เห็นแล้วน่าชื่นชมในการปฏิบัติตามความเชื่อ
         กำแพงกรุงเยรูซาเล็มปัจจุบันยังตั้งตระหง่านอยู่อย่างน่าชื่นชม  รูปทรงปัจจุบันนี้เป็นผลงานการสร้างของชาวเติร์กภายใต้การปกครองสุไลมานมหาราช  ในปี ค.ศ. 1542  รอบ ๆ กำแพงมีความกว้างกว่า 2 ไมล์ครึ่ง  ความสูงเฉลี่ 40 ฟุต มีหอ 34 หอ มีประตูอยู่ 8 ประตู  ประตูดามัสกัสและประตูเฮโรดอยู่ทางเหนือ ประตูสเตเฟนและประตูทองซึ่งพวกเติร์กปิดในปี ค.ศ. 1530 อยู่ทางตะวันออก  ประตูที่ใช้ในการขนขยะและประตูศิโยนอยู่ทางใต้  ส่วนประตูยัฟฟาอยู่ทางตะวันออก
หลังจากออกจากที่กำแพงร้องให้  เราก็ตรงไปที่วัดที่พระเยซูเจ้ารับประทานงานเลี้ยงมื้อสุดท้ายและตั้งศีลบวชพระสงฆ์  วัดแห่งนี้ไม่ได้ถูกทำลายในปี ค.ศ. 70  เพราะตั้งอยู่นอกบริเวณการต่อสู้  วัดแห่งนี้ถูกขยายโดยไบเซนตินในปี ค.ศ. 614 และถูกชาวเปอร์เซียทำลาย  และพวกครูเสดได้สร้างขึ้นมาใหม่ในศตวรรษที่ 12  โดยตัวอาคารประกอบด้วย 2 ชั้น  ในปี ค.ศ. 1176  หีบศพของกษัตริย์ดาวิดถูกนำมาไว้ที่ชั้นล่างของวัดหลังนี้ ในปี 1552 ชาวเติร์กได้ขับไล่ชาวคริสตออกจากวัดและทำเป็นสุเหร่า  เราสวดภาวนาสักครู่แล้ว  เราก็เดินทางต่อไปยังวัดแม่พระบรรทม  เป็นอาคารที่สง่าที่สุดที่ตั้งอยู่บนภูเขาศิโยน  เป็นสถานที่พระนางมารีย์สิ้นพระชนม์ ในปี 1100  พวกครูเสดได้สร้างวัดใหญ่ที่มีชื่อว่า พระนางมารีแห่งภูเขาศิโยน  วัดนี้ถูกทำลายในปี 1219  จากพวกมุสลิม  ในปี 1898  ชาวเติร์กได้มอบสถานที่นี้ให้แก่จักรพรรดฺเยอรมัน  ซึ่งพระองค์ทรงมอบให้แก่ฤาษีเบเนดิกติน  และสร้างวัดหลังปัจจุบันในปี 1910  ออกจากวัดแม่พระนิทราลงไปต่อที่วัดนักบุญเปโตรไก่ขัน 
วัดนักบุญเปโตรไก่ขันสร้างในปี ค.ศ. 1931 สถานที่ถือกันว่าเคยเป็นบ้านของมหาสมณะคายาฟาส  หลังจากพระเยซูเจ้าถูกจับกุม  พระองค์ถูกนำมาที่นี่และที่นี่เองที่เปโตรปฏิเสธพระเยซูเจ้าสามครั้ง  วัดหลังนี้มีสามชั้น  ชั้นแรกเป็นวัดสำหรับทำมิสซาทั่วไป   ชั้นที่ 2 มีบ่อน้ำที่เป็นที่ขังนักโทษ  และชั้นที่สามเป็นที่พระเยซูเจ้าถูกคุมขังไว้  พวกเราลงไปสวดภาวนากันที่นั่น  เนื่องจากมีกลุ่มอื่นที่ตามมารออยู่ข้างนอกจำนวนมาก  เราจึงไม่สามารถอยู่ได้นาน  ออกจากวัดนักบุญเปโตรไก่ขันเราตรงไปที่เมืองเบธเลเฮม ห่างจากเยรูซาเล็ม 8 กม. ซึ่งในเขตปกครองของปาเลสไตน์ซ้อนอยุ่ในประเทศอิสราเอล  เพราะฉะนั้นการที่จะเข้าไปเมืองเบธเลเฮมได้ต้องผ่านด่านตรวจอย่างเคร่งครัด  เพราะมีกำแพงใหญ่ล้อมรอบ  ไม่ให้ชาวปาเลสไตน์ออกมาได้  เมื่อผ่านด่านเข้าไปแล้ว  เราตรงไปที่ภัตรคารเพื่ออาหารเที่ยง  ซึ่งเป็นอาหารพื้นเมือง  เสร็จแล้วเราดินทางขึ้นไปที่วัดออร์โธดอกซ์ คือวิหารพระเยซูเจ้าทรงบังเกิด
วิหารพระเยซูเจ้าทรงบังเกิด  รูปทรงด้านนอกคล้ายกับป้อมที่แข็งแรงของสมัยกลาง  วัดนนี้ถูกล้อมด้วยกำแพงอารามสามแห่ง  ตอนแรกมีประตูสามประตู แต่สองในสามได้ถูกปิดจากำแพงด้านหน้า  ส่วนประตูกลางเหลือแต่ประตูเตี้ย ๆ เพื่อเข้าไปข้างใน  ประตูนี้ถูกทำให้เตี้ยลง 2 ครั้ง  เพื่อไม่ให้โจรสามารถขี่ม้าเข้าไปได้  อาสนวิหารแห่งนี้รูปทรงเป็นกางเขนยาว 170 ฟุต กว้าง 80 ฟุต  ตัววิหารแบ่งออกเป็น 5 ส่วน จากแนวต้นเสา 4 แถวที่ทำด้วยหินแดงจากปาเลสไตน์  ในปี 1936 ได้พบเศษของโมซาอิกในศตวรรษที่ 4  ส่วนด้านหน้าที่ใช้ประกอบพิธีอยู่เหนือถ้ำพระกุมารพอดี  บันไดสองข้างที่นำไปสู่ถ้ำพระกุมารยาว 35 ฟุต กว้าง 10 ฟุต มีตะเกียงอยู่ 48 อัน มีดาวเงินที่จารึกเป็นภาษาลาตินว่า “ ณ ที่นี่ พระเยซูเจ้าได้ทรงบังเกิดจากพระนางมารีย์”  โดยมีรางหญ้าอยู่ทางขวา  สัญญลักษณ์ดาวเงินนี้อยู่ใต้พระแท่น  เราจึงต้องก้มลงกราบเพื่อที่จะจูบได้   มิสซาวันคริสตมาสที่ถ่ายทอดไปทั่วโลกนั้นได้ถ่ายทำจากวัดนี้แต่เป็นส่วนที่คาทอลิกดูแล ที่ถ้ำพระเยซูเจ้าบังเกิดนี้เราก็ร้องเพลงคริสตมาสด้วยกัน ทีนี่ก็ต้องต่อคิวอีกเช่นกัน  เพราะมีคนจำนวนมาก  เราต้องรอนานพอสมควร  เมื่อเราได้เขาไปแล้วที่พลาดไม่ได้เลยคือ ทุกคนจะต้องได้ถ่ายรูปกับดาวดาวิดในที่พระเยซูเจ้าบังเกิด  เมื่อได้ถ่ายรูปกันทุกคนแล้ว  ออกจากวัดเพื่อไปทำมิสซาที่ทุ่งเลี้ยงแกะ  ซึ่งเป็นสถานที่ที่ทูตสวรรค์มาแจ้งข่าวดีแก่คนเลี้ยงแกะว่าพระเยซูเจ้าได้บังเกิดแล้ว  ถือว่าโชคดี  เพราะเราได้ทำมิสซาในวัดหลัก  เราถือโอกาสร้องเพลงคริสตมาสในมิสซาด้วย  มิสซาเสร็จแล้ว  ไกด์ได้นำพวกเราไปซื้อของที่ระลึกในร้านของคริสตชน  ซึ่งมีของที่ระลึกมากมาย  โดยลดยี่สิบเปอร์สำหรับกลุ่มทัวร์ของเรา  สำหรับพ่อได้มากกว่านั้นอีก  เพราะเขาแถมคูปองอีกห้าสิบเหรียญ (หนึ่งพันห้าร้อยบาท)  แต่พ่อก็ซื้อของหมดไปหลายร้อยเหรียญเหมือนกัน  เมื่อทุกคนได้ของตามที่ต้องการแล้วเราก็กลับโรงแรมที่พัก


24  กุมภาพันธ์  2555
          วันนี้เป็นวันศุกร์  เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราขาดไม่ได้คือการเดินรูป 14 ภาค และวันนี้เราไปในเขตกรุงเยรูซาเล็มในเขตที่เป็นชุมชนมุสลิม เราเริ่มต้นที่วัดนักบุญอันนา  ซึ่งถือว่าที่นี่เป็นบ้านของนักบุญอันนและนักบุญยออากิ บิดามารดาของแม่พระ  วัดนี้ถูกสร้างขึ้นในปี 1100 โดยมเหสีของกษัตริย์โบดวงที่ 1  หลังการพ่ายแพ้ของพวกครูเสด ซาลาดินได้ดักแปลงวัดนี้เป็นสถานที่สอนศาสนาอิวลามระดับสูง  ในปี 1856 สุลต่าสนอับดุลมายิก ได้มอบให้แก่กษัตริย์นโปเลียน เป็นค่าตอบแทนที่ได้ช่วยทำสงคราม   และข้างหน้าของวัดนี้ เป็นสระนำเบธเทสดา  สระน้ำนี้อยู่ภายในกำแพงเยรูซาเล็ม  ห่างจากประตูสเคเฟนไม่กี่หลา  มันเป็นจุดนัดพบของคน ที่ที่พระเยซูเจ้าทรงรักษาคนที่ป่วยมานาน 38 ปี สระนี้มีความยาวราว 2352 ฟุต  กว้าง 200 ฟุตและลึก 25 ฟุต  ทุกด้านมีเฉลียงโดยรอบ   เราถือโอกาสสวดภาวนาเพื่อบรรดาคนป่วยทั้งหลายที่นั่น  จากนั้นเราไปต่อที่วัดที่พระเยซูเจ้าถูกโบยตีและถูกตัดสินประหารชีวิต  เราทำมิสซาที่วัดนี้  หลังมิสซาเราเริ่มเดินรูป 14 ภาค เราใช้วัดนี้สำหรับสถานที่ 1-2  จากนั้นเราก็เดินไปตามทางและจะมีสถานที่สาม สี่ ห้า ต่อไปเรื่อย ๆ บางที่มีวัดน้อยเราสามารถเข้าไปได้  แต่ก้ต้องรีบออกมา  เพราะมีคนต่อคิวตลอด  เมื่อมาถึงสถานที่ 10-14  เราต้องทำที่เดียวกัน (ซึ่งอยู่ในโชนของคริสตเตียน) เพราะเราไม่สามารถเข้าไปทำในวัดได้  และจากนี้ไปเราจะเข้าไปในพระคูหาของพระเยซูเจ้าและขึ้นไปยังยอดเขากัลวารีโอ  
วัดพระคูหาศักดิ์สิทธิ์  ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของชาวคริสต์  ได้ครอบเนินเขากลโกธาสถานที่รพะยซูเจ้าถูกตรึงกางเขน และคูหาซึ่งพระศพของพระเยซูเจ้าถูกวางไว้  การตรึงพระองค์ได้เกิดขึ้นนอกกำแพงเมือง ตั้งแต่ถูกสร้างครั้งแรกใน 324  วัดพระคูหาศักดิ์สิทธิ์อยู่ใจกลางเมืองภายในบริเวณกำแพงแรก  เนินเขากลโกธาอยู่นอกกำแพงเมือง แต่ 11 ปีหลังจาการตรึง เมื่อมีการสร้างกำแพงเมืองใหม่โดยกัตริย์เฮโรด  อากริปปา  เนินนี้ได้อยู่ในกำแพง  กลางศตวรรษสุดท้ายนี้ได้มีการค้นพบซากกำแพงเก่า  ทางด้านตะวันออกและทิศเหนือของวัด ในปี 135 กษัตริย์เอเดรียนต้องการลบล้างทุกอย่างที่เป็นการระลึกถึงศาสนายิวและคริสต์ จึงได้ลบล้างเนินกัลวารีโอและที่วพระศพขอิงพระเยซูเจ้า  โดยการสร้างสักการะสถานถวายแด่พระเจ้าจูปีเตอร์  แต่ได้ผลตรงข้าม  เพราะกลับเป็นการรักษาเสียอีก  กษัตริย์คอนสแตนตินได้ขุดพบอีกครั้งหนึ่ง  และภายใต้พระมารดาพระราชินีเฮเลนา  ได้ทรงสร้างพระวิหารที่สง่างามครอบเนินเขากัลวารีโอและพระคูหา  และถูกทำลายในปี 614  ถูกสัรางขึ้นมาใหม่เล็กกว่าเดิม  แต่ก็ถูกทำลายอีกในปี 1009 โดยกาลิบฮาเล็ม  และถูกบูรณะซ่อมแซมใหม่ในปี 1048 และ 1149  ปัจจุบันอยู่ในความดูแลของคณะที่ต่างกัน 6 หมู่คณะ  ตามที่ได้กำหนดไว้ดดยผู้ปกครองชาวเติร์กเมื่อปี 1852   เมื่อ
เราเข้าไปในวัดแล้ว  เราก็พบว่ามีคนจำนวนมากรอที่จะเข้าไปในพระคูหา  พระคูหานั้นสามารถเข้าได้ครั้งละ 5 คนเท่านั้น  ตรงเนี้องที่เราต้องยืนรอนานที่สุด  เพื่อไม่ให้เกิดการแซงคิวเราต้องยืนชิดกันมาก  แม้จะมีคนจำนวนมากเราก็ไม่รู้สึกร้อน  เพราะอากาศหนาวมาก  ถ้าเป็นหน้าร้อนคนเฒ่าคนแก่ทั้งหลายคงจะสลบไปแน่นอน  และที่พลาดไม่ได้คือทุกคนต้องถ่ายรูปเมื่ออกจากพระคูหา  เมื่อครบทุกคนแล้ว เราก็ขึ้นไปชั้นที่สองที่นี่เราต้องต่อคิวแบบคุกเข่ากันอย่างเรียบร้อย  เพราะเป็นยอดเขากัลวารีโอ  ที่ถูกสร้างครอบไว้ด้วยแท่น  เราจึงต้องล้วงลงไปสัมผัสกับยอดเขา ตรงนี้เท่านั้นที่ครอบครองโดยคาทอลิก  ออกจากที่นี่เราลงมาข้างล่าง  เป็นหินอ่อนแผ่นใหญ่แสดงที่วางพระศพพระเยซูเจ้า (เชื่อกันว่าแผ่นหินแรกที่วางพระศพนั้นอยู่ใต้แผ่นหินนี้)  มีคนเอาผ้าเช็ดหน้า ผ้าพักคอลูบไปตามพื้นหิน  ซึ่งมีน้ำหอมชะโลมอยู่  เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้วก็ได้เวลาอาหารเที่ยง  วันนี้แม้จะเป็นวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์  แต่ทางไกด์ได้จัดอาหารจีนในภัตรคารจีนให้เรา   หลายคนถามกันว่าจะกินเนื้อได้หรือไม่  ได้คำตอบจากพ่อสมเกียรติว่า  ในการเดินทางเราไม่มีทางเลือก  สามารถกินได้ ชดเชยด้วยการทำบุญทำทานตามวัดต่างก็ได้ 
           หลังอาหารเที่ยงเราไปที่ตลาดเพื่อซื้อของที่เอากลับบ้าน  เนื่องจากว่าวันเสาร์เป็นวันหยุดของชาวยิว (สับบาโต)  เพราะฉะนั้นตลาดจึงคึกคักมาก  คนพยายามจะซื้อของกันเพราะห้าโมงเย็นก็จะเริ่มวันหยุด  และเมื่อถึงเวลาร้านขายของก็หยุดทันที  คนไทยเราเมื่อไปตลาด เจอของมากมาย  วิญญาณพี่ไทยเข้าสิงทันที  บางคนรู้ทั้งรู้ว่าน้ำหนักเกินแล้ว  แต่ก็จะซื้อสักอย่าง  เมื่อซื้อของเสร็จแล้วเราก็ต่อไปยังหมู่บ้านอาอิน การิม  เชื่อว่าเป็นบ้านเกิดของนักบญยอห์นบัปติสต์  หมู่บ้านนี้อยู่ไม่ไกลจากรุงเยรูซาเล็มนัก  ในศตวรรษที่ 5 ได้มีการสร้างวัดครอบถ้ำที่เชื่อกันว่าเป็นบ้านของเศคาริยาห์  และสถานที่เกิดของนักบุญยอห์น บัปติสต์  วัดนี้ถูกทำลายและสร้างขึ้นใหม่โดยพวกครูเสด  วัดหลังปัจจุบันสร้างขึ้นในปี 1885  โดยนักบวชฟรังซิสกัน  ในปี 1938  นักบวชฟรังซิสกันได้สร้างวัดชั้นบน  ตามผนังกำแพงที่ล้อมบริเวณหน้าวัดมีบทเพลง มานีฟีกัต จารึกไว้ในแผ่นเซรามิกด้วยภาต่าง ๆ มากว่า 40 ภาษา และหนึ่งในนั้นก็มีภาษาไทยด้วย  วัดแม่พระเสด็จเยี่ยมนางเอลีซาเบธนี้  รถขึ้นไม่ได้  เราต้องเดินขึ้นเขาไกลพอสมควร  หลายคนไม่ได้ขึ้นไป เพราะสูงอายุ  เมื่ออยู่ได้สักพักหนึ่งเราก็เดินทางกลับโรงแรม


25  กุมภาพันธ์  2555
          วันนี้เป็นวันสุดท้ายของทัวร์แสวงบุญในครั้งนี้  ทุกคนจัดกระเป๋าให้เรียบร้อย ยกลงมาที่หน้าโรงแรมและรอขึ้นรถ  ก่อนที่จะเอากระเป๋าขึ้นรถได้ต้องแน่ใจว่ากระเป๋าเราแน่นอน  ชี้ให้คนดูแลรถดูแล้วเขาจะยกให้  เมื่อของทุกอย่างขึ้นรถหมดแล้ว  สถานที่ต่อไปคือวัดเบฟายี  สถานที่พระเยซูเจ้าเสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็ม หรือการเริ่มต้นแห่ใบลาน  เมื่อเยี่ยมชมและสวดภาวนาเสร็จแล้ว  เราเดินต่อไปที่เนินเขามะกอก หรือภูเขามะกอกเทศ
        ภูเขามะกอกเทศ ตั้งอยู่ทางตะวันออกของกรุงเยรูซาเล็ม  สุงกว่าราว 300 ฟุต  จากยอดเขามะกอกเทศสามารถชมทิวทัศนกรุงเยรูซาเล็มดีที่สุด ภูเขานี้เป็นที่เคารพของชาวยิว  เพราะตามไหล่เขานั้นเป็นที่ฝังศพของประกาศกสำคัญหลายองค์ของพวกเขา  และเป็นที่เคารพของชาวคริสต์  เพราะมีความผูกพันกับพระเยซูเจ้า  จากที่นี่พระองค์ได้ทำนายถึงกรุงรูซาเล็ม  บนภูเขานี้พระองค์ได้สอนบทข้าแต่พระบิดาให้แก่บรรดาศิษย์ของพระองค์ จึงมีการสร้าวัดพระบิดาขึ้นมา เพราะฉะนั้นที่นี่มีบทข้าแต่พระบิดามากกว่า 150 ภาษา  และหนึ่งในนั้นมีภาษาไทยด้วย  แต่เป็นแบบโบราณขณะผมยังไม่เคยใช้เลย  วัดนี้ดูแลโดยซิสเตอร์จากฝรั่งเศส  วัดนี้ถูกทำลายโดยเปอร์เซียปี 614  และสร้างขึ้นโดยพวกครูเสดในศตวรรษที่ 12  ต่มามุสลิมทำลายอีก  ในปี 1868 เจ้าหญิงเอาเรลีอา เดบอสซี  ได้ซื้อสถานที่และมอบแก่ฝรั่งเศส  และในปี 1875 ได้สร้างอารามชีลับคาร์แมลไลท์  และศพของเจาหญิงก็ได้บรรจุอยู่ในอารามแห่งนี้ 
        จากนั้นลงไปอีกที่หนึ่งเป็นสถานที่ชมทิวทัศน์ของเยรูซาเล็มที่ชัดเจนที่สุด  ตรงนี้มีคนจำนวนมากเช่นกัน  ส่วนใหญ่เก็บภาพบรรยากาศของเมืองเยรูซาเล็ม  เพราะมองไปข้างหน้าจะเห็นเมืองที่อยุ่ภายในกรุงเยรูซาเล็ม   สถานที่ต่อไปคือวัดพระเยซูเจ้ากันแสง  พระองค์กันแสงถึงความล่มสลายของกรุงเยรูซาเล็ม  วัดนี้สร้างในศควรรษที่ 12  วัดนี้วัดเดียวที่เราไม่ได้เข้าไปข้างใน  ที่นี่มีต้นไม้หนามที่ทำเป็นมงกุฎให้พระเยซูเจ้าด้วย   จากวัดนี้ลงไปอีกที่สวนเกทเซมานี  ในสวนเกทเซมานีนั้น  มีต้นมะกอก 8 ต้นที่ถูกเก็บรักษาไว้  ผู้เชี่ยวชาญบางคนบอกว่า  ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นต้นมะกอกสมัยพระเยซูเจ้า    อายุของมันราว 3,000 ปี  ผู้บันทึกประวัติศาสตร์โยเซฟุส  ฟลาวีอุสเล่าว่า  มหาจักรพรรดิ์ตีตัส  ตัดต้นไม้ทุกต้นรอบกรุงเยรูซาเล็มในปี 70 ถ้าต้นมะกอกเหล่านี้ไม่ถูกตัด  ยังคงเป็นต้นเดียวกันในสมัยพระเยซูเจ้า  แต่ถ้าถูกตัดไปแล้ว  ต้นปัจจุบันคงเกิดจากหน่อของต้นที่ได้เป็นพยานแห่งการเข้าตรีทูตของพระเยซูเจ้า ติดกับสวนเกทเซมานี  มีวัดนานาชาติ  วัดนี้สร้างโดยทุนจาก 16 ประเทศ  ข้างในวัดงดงามมาก  มีแผ่นหินแผ่นใหญ่อยู่หน้าแท่น  ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นแผ่นหินที่พระเยซูเจ้าคุกเค่าสวดภาวนาก่อนที่จะถูกจับกุม 
ออกจากที่นี่ได้เวลาอาหารเที่ยง  เราก็ไปที่ภัตรคารอาร์เมเนียน  ได้ชิมอาหารแปลกใหม่ของชาวอาร์เมเนี่ยน  รสชาติไม่เลว  เมื่อเสร็จจากอาหารเที่ยงเราไปที่บ้านเบธานี  บ้านของมารธา  มารี และลาซารัส  ตำบลเบธานีตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของกรุงเยรูซาเล็ม ห่างจากตัวเมืองราว 2 ไมล์ และมีวัดของลาซารัส  วัดของลาซารัสนี้ได้สร้างโดยพวกไบเซนติน 2 หลัง  หลังแรกถูกทำลายโดยแผ่นดินไหว  หลังที่สองถูกทำลายโดยเปอร์เซียในปี 614  ในศตวรรษที่ 12 พวกครูเสดได้สร้างวัดหลังที่ 3  ต่อมาถูกยึดโดยมุสลิม  นักบวชฟรังซิสกันได้ไถ่ถอนสถานที่นี้ตอนต้นศตวรรษนี้เอง  ในปี 1949  พวกเขาได้รื้อสิ่งต่าง ๆ บนเนื้อที่ดังกล่าว  ทำการขุดและพบซากของวัดหลังแรก ๆ รวมทั้งซากอารามด้วย  วัดที่เห็นในปัจจุบันถูกสร้างในปี 1952 วัดลาซารัสนี้เป็นสถานที่ที่เราทำมิสซาสุดท้ายในแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์โดยใช้บทมิสซาวันอาทิตย์สัปดาห์แรกของเทศกาลมหาพรต  เนื่องจากเช้าวันอาทิตย์พวกเรายังคงอยู่ในการเดินทางบนเครื่องบิน  จบมิสซาแล้วยังมีร้านขายของที่ระลึกที่สุดท้ายที่เราจะซื้อได้  โดยลดราคา 20 เปอร์เซนต์  ใช้เวลาไม่นานทุกอย่างก็เรียบร้อย  ขึ้นรถต่อไปยังเมืองจัฟฟาซึ่งอยู่ทางตะวันตกของประเทศอิสราเอลติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน  เป็นเมืองที่ปลาใหญ่ไปคายประกาศกโยนาห์ทิ้งไว้บนชายหาด ที่นี่จะเป็นการรับรับประทานอาหารเย็นมื้อสุดท้ายหลังอาหารเราก็ได้มีพิธีขอบคุณคนขับรถและไกด์ของเรา  ตลอดเวลาพวกเขาทั้งสองดูแลพวกเราดีมาก  ไกด์ของเราได้ฝากว่า  เวลานี้เราได้เพิ่มบรรดาผู้ประกาศข่าวดีอีก 34 คนเพื่อที่จะไปบอกอกล่าวให้กับคนอื่นถึงเรื่องราวของพระเยซูเจ้าที่เราได้ไปเห็นด้วยตนเอง และให้เราได้กลับไปอ่านพระคัมภีร์อีกด้วย   จากนั้นจะต่อไปยังสนามบิน  ก่อนที่เราจะถึงสนามบิน  เราก็เตรียมตอบคำถามเจ้าหน้าที่อีกครั้งหนึ่ง  ซึ่งอาจจะใช้เวลามากว่าเดิม  เมื่อถึงสนามบินแล้ว  เจ้าหน้าที่ก็สัมภาษณ์พวกเราทีละคน  โดยเริ่มจากพ่อสมเกียรติซึ่งเป็นไปตามลำดับหมายเลข  พ่อถูกสัมพากษ์ด้วยภาษาอังกฤษ  ผมเป็นคนที่สองถูกสัมภากษ์เป็นภาษาอังกฤษ  แต่เขาให้อ่านภาษาไทยเวลาตอบคำถาม  เจ้าหน้าที่เองก็อ่านไม่ออก  แต่พวกเราเตรียมกันมาก่อนแล้วการสัมภากษ์จึงไม่มีปัญหา  แต่ที่มีปัญหาคือการตรวจกระเป๋า  พ่อสมเกียรติบอกว่า  ปกติเกือบร้อยเปอร์เซนต์ทุกคนจะต้องได้เปิดกระเป๋า  แต่คราวนี้ดูเหมือนทุกอย่างจะราบรื่น  มีที่ต้องเปิดกระเป๋าอยู่ประมาณ 10 รายเท่านั้น  แต่ใช้เวลาพอสมควร  เมื่อทุกคนพร้อมกันที่ที่พักผู้โดยสารและได้เวลาขึ้นเครื่อง  ก็เป็นเวลา 23.05 น.  ซึ่งตรงกับเมืองไทยเวลา 03.05 น. เช้าวันอาทิตย์  การเดินทางใช้เวลา 11 ชั่วโมง เมื่อขึ้นเครื่องเสร็จ  เครื่องบินบินขึ้นแล้ว  สิ่งต่อไปคือหลับ  ทั้ง ๆ ที่จะมีการเสริฟอาหารก่อนนอนก็ตาม  เรามาถึงเมืองไทยเวลาบ่าย 14.45 น. ของวันที่ 26  กุมภาพันธ์  เมื่อเคลียร์ทุกอย่างแล้ว  ต่างคนต่างแยกย้ายกันกลับบ้าน
สรุปแล้วได้อะไรจากการจาริกแสวงบุญที่แผ่นดินศักดิ์สิทธิ์  ตามที่เขียนไว้ตั้งแต่ต้นแล้วว่า  เราอาจจะได้อ่านพระคัมภีร์มามากมาย  แต่เมื่ออ่านแล้วได้ไปสถานที่จริง ๆ ได้พบบรรยากาศความเชื่อจากผู้คนทั่วโลกที่มาในแผ่นดินนี้  ทำหึ้ความเชื่อมีพลังมีชีวิตชีวามากขึ้น  เวลาเดียวกันได้มองดูภารกิจในการติดตามพระเยซูเจ้าทำให้รู้สึก สำนึกและตระหนักถึงความสำคัญในการประกาศข่าวดีให้แก่ผู้อื่นมากขึ้นด้วย  แผ่นดินศักดิ์สิทธิ์  เป็นแผ่นดินที่ไม่มความอุดมสมบูรณ์ในด้านทรัพยากรธรรมชาติ  ไม่มีน้ำมันเหมือนประเทศอาหรับอื่น ๆ แต่สิ่งที่ชาวยิวและชาวมุสลิมแย่งกัน  เพราะว่าเป็นแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ หรือความศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่พวกเขาแย่งกัน  นั่นหมายความว่าความศักดิ์สิทธิ์นั้นมีค่ามากกว่าสมบุติใด ๆ ในโลกนี้
ขอพระเจ้าได้บันดาลความศักดิ์สิทธิ์ให้แก่เรา  เพื่อที่เราจะนำไปให้กับผู้อื่น  และความศักดิ์สิทธิ์จะนำพวกเราพบกับพระองค์ในวาระสุดท้ายของชีวิต

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น