จาริกแสวงบุญในแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์
แผ่นดินศักดิ์สิทธิ์
ตั้งอยู่ทางตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ทิศเหนือจดเลบานอน ทิศตะวันออกจดซีเรียและจอร์แดน ทิศใต้จดทะเลทรายซีนายและทิศตะวันตกจดทะเลเมดิเตอร์เรเนียน มีขนาด 14,000 ตารางไมล์ มีความสำคัญมากทางประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ พลเมืองนับถือ 3 ศาสนาใหญ่ ๆ คือ ยิว มุสลิมและคริสต์ ยังเป็นจุดเชื่อมระหว่าง 3 ทวีป เป็นจุดพบระหว่างตะวันออกและตะวันตก ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์นี้มีผู้อยู่อาศัยตั้งแต่ 9,000 ปีก่อนคริสตกาล คนเหล่านี้เป็นหมู่คณะที่เก่าแก่ที่สุดในโลก แต่การบันทึกประวัติศาสตร์ของแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ได้เริ่มจากสมัยของอับราฮัมออกจากเมืองอูร์ในเมโสโปเตเมีย และมาถึงดินแดนคานาอันประมาณ 1950 ก่อนคริสตกาล
ตั้งอยู่ทางตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ทิศเหนือจดเลบานอน ทิศตะวันออกจดซีเรียและจอร์แดน ทิศใต้จดทะเลทรายซีนายและทิศตะวันตกจดทะเลเมดิเตอร์เรเนียน มีขนาด 14,000 ตารางไมล์ มีความสำคัญมากทางประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ พลเมืองนับถือ 3 ศาสนาใหญ่ ๆ คือ ยิว มุสลิมและคริสต์ ยังเป็นจุดเชื่อมระหว่าง 3 ทวีป เป็นจุดพบระหว่างตะวันออกและตะวันตก ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์นี้มีผู้อยู่อาศัยตั้งแต่ 9,000 ปีก่อนคริสตกาล คนเหล่านี้เป็นหมู่คณะที่เก่าแก่ที่สุดในโลก แต่การบันทึกประวัติศาสตร์ของแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ได้เริ่มจากสมัยของอับราฮัมออกจากเมืองอูร์ในเมโสโปเตเมีย และมาถึงดินแดนคานาอันประมาณ 1950 ก่อนคริสตกาล
สำหรับคริสตชนแล้วการอ่านพระคัมภีร์และพระวรสารเป็นเรื่องที่สำคัญ เพื่อที่จะได้รู้เรื่องราวต่าง ๆ ของพระเจ้าดีมากขึ้น แต่ถ้าได้อ่านแล้วและได้ไปในสถานที่จริงที่ได้เคยอ่านในพระคัมภีร์หรือพระวรสาร จะทำให้ได้รับอะไรต่าง ๆ อีกมากมาย ไม่ว่าความเชื่อและความศรัทธา ความอิ่มใจ
ความรักในความเป็นคริสตชนมากขึ้นด้วยเช่นกัน
ผู้เขียนเองไม่คิดฝันมาก่อนเลยว่าจะได้ไปแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์
แต่เมื่อมีโอกาสจึงเตรียมตัวในการแสวงบุญนี้อย่างดี เริ่มด้วยการเข้าเงียบ รับศีลอภัยบาป
ไม่ใช่เพราะกลัวว่าจะตายกลางทาง
แต่คิดว่าเมื่อเราไปแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ เดินตามรอยพระคริสตเจ้า เราก็ควรเป็นคนที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก่อนไปได้มีการปฐมนิเทศผู้ที่ไปในกลุ่มเดียวกัน มีคุณพ่อ 2 องค์ ซิสเตอร์ 7
รูปและฆราวาสทั้งที่เป็นคาทอลิกและไม่เป็นคาทอลิกอีก 25 คน
เมื่อเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว การเดินทางก็เริ่มขึ้น
18 กุมภาพันธ์
2555
ลูกทัวร์ทุกคนพร้อมกันที่สนามบินสุวรรณภูมิเวลา
20.30 น. ผมเองนับว่าโชคดีที่มีคุณพ่อสมเกียรติเป็นผู้นำทัวร์ครั้งนี้
คุณพ่อได้ช่วยเหลือผมหลายอย่าง
เมื่อเช็คดูแล้วที่อิสราเอลมีหิมะตก คุณพ่อก็ได้ไปยืมเสื้อกันหนาวขนเป็ด
(ตัวละสองหมื่น) และผ้าพันคออย่างดีอีก 1 ผืนจากคริสตชนที่พ่อรู้จัก แถมเขายังได้ฝากเงินใช้ส่วนตัวให้อีก
500 เหรียญ
เราออกเดินทางจากบ้านเณรแสงธรรมไปถึงสนามบินก่อนเวลาเล็กน้อย แวะทานข้าวเย็นก่อน เนื่องจากเครื่องออกเที่ยงคืน เมื่อรวมกันตามเวลาที่นัดหมายแล้ว ลำดับต่อไปคือ การตรวจสอบก่อนที่จะเข้าไปในสนามบิน
ประเทศอิสราเอลเป็นประเทศเดียวที่ต้องสัมภาษณ์ผู้โดยสารทุกคน เพราะเขาต้องการเช็คความปลอดภัยเต็มที่ คนแรกที่ถูกสัมภาษณ์คือพ่อสมเกียรติ ส่วนผมเป็นคนที่สองตามลำดับรายชื่อ
สิ่งที่ถามคือ ไปทำอะไร
รู้จักกันในกลุ่มมากน้อยแค่ไหน
จัดกระเป๋าเองหรือเปล่า
มีคนฝากของไหม จะไปพักที่ไหน
กี่วัน ฯลฯ ซึ่งเราก็ต้องตอบตามความเป็นจริง
ขั้นตอนนี้ถือว่าเสียเวลามากที่สุด
แต่เมื่อผ่านขั้นตอนนี้แล้ว ทุกอย่างจะสะดวก เนื่องจากสมาชิกของเรามี 34 คน กว่าจะผ่านด่านได้ใช้เวลากว่า 2 ชั่วโมง เมื่อเข้าไปในสนามบินเพื่อรอขึ้นเครื่อง มีการตรวจสอบซ้ำอีกเพื่อความมั่นใจ เวลา 00.20 น.
เครื่องบินออกจากสนามบินสุวรรณภูมิเพื่อตรงไปยังเมืองเทลอาวีฟ เมืองหลวงของอิสราเอล
การเดินทางใช้เวลา 11 ชั่วโมงโดยไม่ได้จอดกลางอากาศที่ไหน ที่ต้องใช้เวลาขนาดนี้ เพราะอิสราเอลไม่ถูกกับชาติอาหรับ จึงไม่สามารถบินผ่านน่านฟ้าประเทศอาหรับเหล่านั้นได้ จึงต้องบินในทะเลเท่านั้น อิสราเอลกับประเทศไทยเวลาห่างกัน 5 ชั่วโมง เราออกจากเมืองไทยเที่ยงคืนของวันเสาร์ ของเขาก็เท่ากับ 1 ทุ่มของวันศุกร์ เพราะฉะนั้นการเดินทางในวันเที่ยงคืน เสาร์ของเรา
ไปถึงที่อิสราเอลเช้าวันอาทิตย์ซึ่งตรงกับประเทศไทย 11 นาฬิกา เมื่อถึงสนามบินเรียบร้อยการตรวจต่าง ๆ ผ่านไปด้วยดี ที่สนามบินไกด์ที่จะพาเราไปได้รอพบเราที่นั่นก่อนแล้ว เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย
ก่อนออกจากสนามบินทุกคนต้องใส่เสื้อกันหนาวอย่างเต็มที่ เพราะอุณหภูมิประมาณ 10 องศาแถมฝนตกด้วย พวกเราหลายคนบ่นว่าฝนตก
แต่ไกด์บอกว่านึ่คือพระหรรษทานและพระพรของพระเจ้า เพราะประเทศอิสราเอลนั้นมีแต่ทะเลทราย เมื่อมีน้ำฝนถือว่าพระเจ้าอวยพร ฉะนั้นเราจึงต้องเปลี่ยนทัศนคติใหม่ทันที เมื่อขึ้นมาบนรถเจ้าของบริษัทก็มาทักทายพวกเรา
และยินต้อนรับสู่แผ่นดินศักดิ์สิทธิ์
เนื่องจากว่าเราทานข้าวเช้าก่อนที่เครื่องจะร่อนลง เพราะฉะนั้นเรามีโปรแกรมที่ต้องออกเดินทางเยี่ยมตามที่ต่าง
ๆ ทันที เป้าหมายแรกคือ
เมืองโบราณเซซาเรีย สร้างโดยกษัตริย์เฮโรด มหาราช เมื่อปี 20 ก่อนคริสตกาล ใช้เวลาสร้าง 12 ปีโดยวิศวกรผู้เชี่ยวชาญในสมัยนั้น เป็นเมืองที่สวยที่สุดเมืองหนึ่งในปาเลสไตน์และเป็นเมืองท่าที่สำคัญด้วย
มีสถานที่ราชการ สักการะสถานที่ทำด้วยหินอ่อนสวยงาม
มีโรงละครกว้างใหญ่ที่ใช้ชมการแสดงกลางแจ้งและสนามม้า มีการหย่อนก้อนหินลงในทะเลเพื่อสร้างเป็นเขื่อนรูปครึ่งวงกลมกว้างถึง
200 ฟุต เฮโรดตั้ชื่อเมืองว่าเซซารียาห์
เพื่อเป็ฯเกียรติแด่ซีซาร์ ออกัสตัส
หลังยุคของเฮโรดเมืองนี้ถูกปกครองโดยโรมัน
ปอนทิอัส ปีลาตได้อาศัยอยู่ที่นี่
และเป็นเมืองหลวงของชาวโรมันที่ปกครองปาเลสไตน์กว่า 500 ปี ปีค.ศ. 66 ได้มีการต่อสู้กันระหว่างชาวยิวและชาวซีเรียที่ได้รับความช่วยเหลือจากโรมัน การฆาตกรรมชาวยิว 20,000 คน
ได้กลายเป็นเหตุแห่งการกบฏครั้งยิ่งใหญ่ของชาวยิว
ซึ่งลงท้ายด้วยการทำลายพระวิหารหลังที่สองในปี 69 ในศตวรรษที่ 3
โอริเจนได้ก่อตั้งสถานศึกษาด้านศาสนาที่สำคัญ
ต่อมา ปี 638 เมืองเซซารียาได้ตกอยู่ในความครอบครองของมุสลิม และในปี 1102
ถูกยึดจากพวกครูเสด และต่อมาปี 1252 กษัตริย์หลุสย์ที่ 9 แห่งฝรั่งเศส
ได้สร้างกำแพงและคูน้ำเพื่อป้องกันเมืองนี้ไว้
กว้าง 30 ฟุต สูง 30-45 ฟุต แต่ในปี
1291 ก็ได้ถูกทำลายสิ้น จนในที่สุดอยู่ใต้กองทรายที่ลมพัดมาทับทม ต่อมาในปี 1956 นักโบราณคดีเริ่มขุดเมืองเซซารียาขึ้นใหม่ ได้พบซากปรักหักพังและวัตถุโบราณที่สวยงาม
อีกทั้งพบโรงละครกลางแจ้งยุคโรมันและมีการบูรณะและใช้เป็นสถานที่แสดงดนตรี มีระบบน้ำที่นำมาจากแหล่งกำเนิดจากภูเขาที่ห่างไกลระยะทาง
12ไมล์มาสู่เมือง มีสนามม้ายาว 1,000 ฟุต
พร้อมที่นั่งสำหรับผู้คน 20,000 คน ซึ่งที่นี่ก่อนที่จะไปดูตามที่ต่าง ๆ จะมีการฉายวิดีโอประวัติของสถานที่ให้เห็นภาพก่อน จากนั้นก็เดินชมสนามประลองความเร็วด้วยรถม้า ซึ่งเป็นที่ที่จะบอกได้ว่าที่นี่ไม่มีผู้แพ้ เพราะผู้ที่แพ้จุดหมายคือความตายเท่านั้น
จากเซซาเรีย ต่อไปยังเมืองไฮฟา การเดินทางเลียบเทือกเขาคาร์เมลที่ซึ่งเราเคยได้ยินในพระคัมภีร์สมัยประกาศเอลียาห์ วันนี้ได้เห็นของจริง ภูเขาคาร์เมล์มีความกว้าง 4-5 ไมล์ ยาว 16 ไมล์ ชื่อมาจากภาฮีบรูซึ่งแปลว่า “สวนองุ่นของพระเจ้า” เป็นเทือกเขาที่เขียวชะอุ่มตลอดปี จากที่เคยคิดว่าในอิสราเอลมีแต่ภูเขาเตี้ย ๆ แต่วันนี้ไม่ใช่แล้ว เมื่อมาถึงบนภูเขาคาร์เมล เราก็เขาไปสวดภาวนาในวัดแม่พระแห่งดาราสมุทร และในวัดนั้นมีถ้ำที่ประศกเอลียาห์หนีจากการตามล่าของกษัตริย์อาหับซ่อนตัวอยู่ที่นั่น ที่นี่คณะคาร์แมล์ไลท์ได้มาตั้งอยู่ในศควรรษที่ 13 โดยมีประกาศกเอลียาห์เป็นองค์อุปถัมภ์ จากที่นี่เราต่อไปยังสวนของศาสนาบาไฮ ซึ่งเป็นศูนย์กลางใหญ่ของศาสนานี้ ศาสนาบาบาไฮไม่ได้มีอะไร นอกจากการนิ่งสงบอยู่กับตัวเอง ไม่มีบทสวด ไม่มีพระ แต่เป็นสถานที่ตกแต่งสวยงามมาก ว่ากันว่าสวนนี้สร้างด้วยเงิน 250 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นเงินจำนวนมหาศาล เมื่อออกจากที่นี่เราก็ตรงไปที่ภัตรคารจีนสำหรับอาหารเที่ยง
จากเซซาเรีย ต่อไปยังเมืองไฮฟา การเดินทางเลียบเทือกเขาคาร์เมลที่ซึ่งเราเคยได้ยินในพระคัมภีร์สมัยประกาศเอลียาห์ วันนี้ได้เห็นของจริง ภูเขาคาร์เมล์มีความกว้าง 4-5 ไมล์ ยาว 16 ไมล์ ชื่อมาจากภาฮีบรูซึ่งแปลว่า “สวนองุ่นของพระเจ้า” เป็นเทือกเขาที่เขียวชะอุ่มตลอดปี จากที่เคยคิดว่าในอิสราเอลมีแต่ภูเขาเตี้ย ๆ แต่วันนี้ไม่ใช่แล้ว เมื่อมาถึงบนภูเขาคาร์เมล เราก็เขาไปสวดภาวนาในวัดแม่พระแห่งดาราสมุทร และในวัดนั้นมีถ้ำที่ประศกเอลียาห์หนีจากการตามล่าของกษัตริย์อาหับซ่อนตัวอยู่ที่นั่น ที่นี่คณะคาร์แมล์ไลท์ได้มาตั้งอยู่ในศควรรษที่ 13 โดยมีประกาศกเอลียาห์เป็นองค์อุปถัมภ์ จากที่นี่เราต่อไปยังสวนของศาสนาบาไฮ ซึ่งเป็นศูนย์กลางใหญ่ของศาสนานี้ ศาสนาบาบาไฮไม่ได้มีอะไร นอกจากการนิ่งสงบอยู่กับตัวเอง ไม่มีบทสวด ไม่มีพระ แต่เป็นสถานที่ตกแต่งสวยงามมาก ว่ากันว่าสวนนี้สร้างด้วยเงิน 250 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นเงินจำนวนมหาศาล เมื่อออกจากที่นี่เราก็ตรงไปที่ภัตรคารจีนสำหรับอาหารเที่ยง
หลังอาหารเที่ยงเดินทางสู่นาซาแรธ สถานที่พระเยซูเจ้าทรงเจริญวัย ซึ่งห่างจากภูเขาคาร์เมล์ 80 กม.
ซึ่งตั้งอยู่บนเนินเขา และเป็นเมืองศักดิ์สิทธิ์ที่สุดแห่งหนึ่งในแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ ตั้งอยู่เหนือระดับน้ำทะเล 1,230 ฟุต เราไม่ทราบว่าเมืองนาซาแรธเริ่มต้นเมื่อใด สมัยพระเยซูเจ้าเป็นตำบลที่ใหญ่แล้ว ในปี 66
ถูกทำลายโดยจักรพรรดิ์เวสปาเซียน ในปี 629 ชาวยิวถูกไล่จากนาซาแรธ เพราะไปเข้ากับเปอร์เซียนในการต่อสู้กับคริสตชน ในสมัยของครูเสด เมืองนาซาแรธได้มีการฟื้นขึ้นใหม่ กษัตริย์ตันเกเดอร์ ผู้ได้รับสมญานามว่า
“เจ้าฟ้าแห่งกาลิลี” ได้สร้างวัดและอารามขึ้นใหม่
ในปี 1187 ถูกยึดจากซาลาดิน
ศตวรรษต่อมาก็ถูกทำลาย หลังจากนั้นกลายเป็นที่มุสลิมอยู่กว่า 400 ปี ในปี 1620 มีครอบครัวคริสตชนมาตั้งหลักแหล่ง ณ
ที่นี้ ทำให้เมืองขยายตัวมากขึ้นเรื่อย ๆ
ปัจจุบันที่นาซาแรธมีหมู่คณะชาวอาหรับที่ใหญ่ที่สุดในอิสราเอล (35,000 คน)
ส่วนใหญ่เป็นคริสตชน เราเยี่ยมชมวัดแม่พระรับสาร
มีรูปแม่พระจากประเทศต่าง ๆ มากมาย แม้แต่ประเทศไทยของเราซึ่งเป็นแม่พระใส่ชุดไทย วัดนี้มีสองชั้น ชั้นล่างเป็นบ้านของแม่พระ ปัจจุบันเป็นวัดน้อย มีกลุ่มหนึ่งกำลังทำมิสซาอยู่ ชั้นบนเป็นวัดใหญ่ ตกแต่งด้วยกระจกสีสวยงามมาก ห่างจากวัดแม่พระประมาณ 50 เมตรเป็นวัดนักบุญยอแซฟ
(บ้านนักบุญยอแซฟ) ที่วัดนี้ก็มีกลุ่มกำลังทำมิสซาเช่านกัน ออกจากที่นี่เราก็ไปหมู่บ้านคานา สถานที่ที่พระเยซูเจ้าทรงทำอัศจรรย์ครั้งแรก ทรงเปลี่ยนน้ำเป็นเหล้าองุ่น ที่นี่เราจะทำมิสซา
และมิสซาในเย็นนี้มีคู่แต่งงานที่รื้อฟื้นศีลสมรสด้วย
คู่สามีภรรยาที่มาที่นี่ส่วนใหญ่จะรื้อฟื้นศีลสมรสกัน นี่เป็นมิสซาแรกในแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ของผม ผมนับว่าโชคดี เพราะทัวร์นี้ผมได้เป็นประธานมิสซาทุกวัน เนื่องจากคุณพ่อสมเกียรติบอกว่าพ่อไปมา 15
ครั้งแล้ว ได้ทำมิสซามาเกือบทุกที่ เพราะฉะนั้นให้ผมเป็นประธานและพ่อจะเป็นผู้เทศน์เอง ผมรู้สึกว่าโอกาสอย่างนี้หายาก หากพวกเรามากันในหมู่พระสงฆ์
คงจะมีการแย่งกันเป็นประธานแน่
หลังจากมิสซาเราก็แวะชิมเหล้าองุ่นที่เมืองคานา ซึ่งอย่างตรงหน้าวัด (ซิมฟรี) ก่อนออกจากร้านไกด์ได้นำเหล้าองุ่น 2
ขวดเล็กมาให้พ่อเป็นของที่ระลึก
จากนั้นเราก็กลับไปที่พัก ที่โรงแรม Rimonim
Mineral Tiberias เป็นโรงแรมที่อยู่ติดทะเลสาบกาลิลี
เมืองทีเบเรียส
เมืองนี้ตั้งอยู่ในระดับ 682
ฟุตตรดับน้ำทะเล ถูกสร้างขึ้นในปี 26
โดยเฮโรด อากริปปา ซึ่งได้ตั้งชื่อว่า “ทีเบเรียส” เพื่อเป็นเกียรติแด่จักรพรรดิ
โรมันทิเบรีอัส เป็นเมืองสวยงาม มีวิหารทองคำและหินอ่อน มีสถานที่อาบน้ำพุร้อน ทีเบเรียสไม่ใช่ใช่เมืองในพระคัมภีร์ แต่เป็นเมืองศักดิ์สิทธิ์ของชาวยิว เพราะหลังจากการปราบกบฏในสมัยจักรพรรดิเอเดรียน เมืองทีเบเรียสก็เป็นเยรูซาเล็มที่ 2 ของชาวยิว
20 กุมภาพันธ์
2555
คืนแรกที่อิสราเอลผมตื่นเช้ามาก
ประมาณตีห้าครึ่งผมก็ออกเดินไปข้างนอกตามท้องถนนที่เลียบทะเลสาบกาลิลี เพราะโรงแรมของเราอยู่ติดกับทะเล และด้านหลังโรงแรมเป็นภูเขา ซึ่งบรรยากาศดีมาก อากาศก็หนาวมากเช่นกัน ได้ออกเดินตามถนนพร้อมกับกล้องคู่ใจ
เพื่อเก็บภาพบรรยากาศในตอนเช้าของชาวอิสราเอล เมืองนี้รถไม่แออัดเท่าไหร่ ที่สังเกตเห็นคือผู้คนมีมิตรไมตรี จะหยุดรถเมื่อเห็นคนกำลังจะข้ามถนน
การเคารพกฎจราจรเป็นเรื่องที่ต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ผมถือโอกาสให้คนที่วิ่งออกกำลังกายตอนเช้าช่วยถ่ายรูปให้ด้วย
ทุกเช้าเราจะมีสูตรว่า ตื่นหกโมง
อาหารเจ็ดโมง
และแปดโมงล้อหมุน
เพราะฉะนั้นเช้านี้ทุกคนปฏิบัติตามระเบียบอย่างเคร่งครัด
เพื่อที่ทุกอย่างจะดำเนินตามโปรแกรมที่วางไว้ อย่างไรก็ตาม
เนื่องจากพยากรณ์อากาศบอกว่าวันนี้อากาศใส
การเดินทางไปภูเขาเฮอร์โมนจะได้เห็นหิมะและสัมผัสหิมะได้ ฉะนั้นเราก็เลื่อนโปรแกรมจากพรุ่งนี้มาเป็นวันนี้แทน
ภูเขาเฮอร์โมนตั้งอยู่เหนือที่ราบสูงโกลัน
เป็นชายแดนระหว่างอิสราเอล เลบานอนและซีเรีย
มีความยาว 32 กม. สูง 2,810 เมตร เป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำจอร์แดน ยอดเขามีหิมะปกคลุมตลอดปี เมื่อทุกคนได้ยินว่าจะไปสัมผัสหิมะ ต่างคนต่างก็เตรียมเสื้อกันที่ดีที่สุด ส่วนผมเองก็เอาตัวราคาสองหมื่นออกมาใช้ทันที
เมื่อทุกคนพร้อมการเดินทางในวันที่
2 ก็เริ่มขึ้น ระยะทางประมาณ 120
กม.จากที่พัก ระหว่างการเดินทางไกด์ได้อธิบายถึงสถานที่สองข้างทางว่า เป็นที่ราบสูงโกลัน ครั้งหนึ่งเป็นของซีเรีย แต่เมื่อเกิดสงครามระหว่างอิสราเอลกับอาหรับ อิสราเอลสามารถยึดได้ ทุกวันนี้ยังเป็นของอิสราเอล และสองข้างทางเราเห็นค่ายทหารอิสราเอลเป็นระยะๆ
และข้างทางมีเครื่องหมายบอกเป็นระยะว่ายังมีทุ่นระเบิดอยู่ ยิ่งวิ่งใกล้ภูเขาเฮอร์โมนมากเท่าไหร่ เราก็ได้เห็นหิมะชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น ดูไกล ๆ เห็นแต่ภูเขาสีขาว เมื่อมาถึงที่หยุดพัก (ยังไม่ถึงภูเขา) เพราะต่อไปทางแคบรถจอดไม่ได้ มีตรงนี้เท่านั้นที่ให้เราลงมาสัมผัสหิมะได้ ทุกคนลงไปพร้อมกับเสื้อกันหนาวอย่างหนา
ผมได้มีโอกาสใช้เสื้อกันหนาวตัวสองหมื่นที่นี่ ซึ่งไม่ผิดหวัง เมื่อทุกคนถ่ายรูปกันอย่างจุใจแล้ว ก็เดินทางต่อไป คราวนี้เราจะฝ่าดงหิมะจริง ๆ
แต่เราไม่ได้ลงไปสัมผัสแล้ว
ซึ่งข้างทางมีหิมะหนามาก
รถยนต์บางคันถูกหิมะปกคลุมหนากว่าคืบหนึ่ง
ฝ่าดงหิมะไปเรื่อย ๆ มุ่งไปสู่สถานที่ที่เป็นต้นกำเนิดแม่น้ำจอร์แดน
เราเคยจินตนาการว่าแม่น้ำจอร์แดนคงจะเป็นแม่น้ำใหญ่โต แต่จริง ๆ แล้วเป็นแม่น้ำสายเล็ก
อาศัยหิมะละลายกลายเป็นแม่น้ำ
ความกว้างไม่เกิน 2 เมตร เพราะเวลารถวิ่งผ่านถ่ายรูปยังไม่ทันเลย
และในประเทศอิสราเอลมีแม่น้ำจอร์แดนเท่านั้นที่อาจจะบอกว่าใหญ่ที่สุดและไหลลงสู่ทะเลสาบกาลิลี ผ่านภูเขาเฮอร์โมนตรงไปยังเซซาเรียแห่งฟิลิปปี
ซึ่งเป็นสถานที่ถวายพระเกียรติแด่จักรพรรด์ซีซาร์แห่งโรม
เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางงศาสนาของพวกกรีกมาก่อน พอโรมันเข้ามามีอำนาจก็ยึดเป็นที่ทางศาสนาเช่นกัน
และชาวคานาอันยังเคยใช้เป็นสถานที่บูชาเทพธิดาแห่งความอุดมสมบูรณ์
จากจุดกำเนิดแม่น้ำจอร์แดน เราขึ้นไปบนภูเขาเพื่อชมป้อมปราการ
นิมโรต ถูกสร้างขึ้นในปี 1228 เป็นคุกที่หรูหราสำหรับขุนนางชาวเติร์กที่ได้รับการเนรเทศไปยังปาเลสไตน์
เมื่อเห็นป้อม
ผมรู้สึกทึ่งกับความพยายามของคนสมัยก่อนมาก เพราะหินแต่ละก้อนที่ซ้อนกันนั้น แต่ละก้อนหนักหลายร้อยกิโล แต่พวกเขาเอาไปไว้บนยอดเขาได้อย่างไร
และ จากที่นี่เรากลับมาทานอาหารเที่ยงในเมือง
หลังอาหารเที่ยง
เราไปต่อที่ภูเขาทาบอร์
สถานที่พระเยซูเจ้าจำแลงพระกาย มีประกาศกเอลียาห์และโมเสส
ปรากฏตัวด้วย
ที่นี่เราจะต้องขึ้นภูเขา
เส้นทางคดเคี้ยวมาก
รถใหญ่เข้าไม่ได้ เราจึงต้องรอรถตู้ เนื่องจากมีคนมามาก เราจึงต้องรอคิวขึ้นไปจึงต้องใช้เวลารอนิดหน่อย เมื่อขึ้นไปถึงเราเข้าไปในวัดมีกลุ่มหนึ่งทำมิสซาอยู่ และคิวต่อไปเป็นกลุ่มของเกาหลี แต่เนื่องจากว่า เกาหลีมาช้า
เราเลยเสียบแทน ทำมิสซาก่อน
จบมิสซาของเราแล้วเขาพึ่งจะมา
(จริง ๆ ในตารางวันนี้ไม่ใช่ทำมิสซาที่นี่) วัดหลังนี้สร้างโดยมีโดม 3 โดม แทนพลับพลาสามหลังที่บรรดาอัครสาวกคิดจะสร้างให้พระเยซูเจ้า
โมเสส และเอลียาห์ เสร็จจากที่นี่เราก็กลับไปที่พัก
21 กุมภาพันธ์
2555
ตามเวลาเดิมออกเดินทาง เช้านี้มุ่งไปที่ภูเขาวิหารมหาบุญลาภ ที่ที่พระเยซูเช้าได้เทศนาครั้งแรก และเช้านี้เราได้ทำมิสซาตอนเช้า และไม่สามารถทำมิสซาในวัดได้ แต่นอกวัดมีสถานที่สำหรับทำมิซสาอยู่หลายจุด
บรรยากาศบนภูเขาดีมาก
เพราะมองลงไปข้างล่างนั้นเป็นทะเลสาบกาลิลี ซึ่งเราจะลงไปหลังมิสซา หลังมิสซาเราเข้าไปสวดในวัดมหาบุญลาภ เสร็จแล้วก็เดินไปรอบ ๆ วัด ถ่ายรูปกัน เมื่อเสร็จจากที่นี่ เราก็ตรงลงไปที่ริมทะเลสาบกาลิลี เพื่อขึ้นเรือล่องไปในทะเล จำลองบรรยากาศของพระคริสตเจ้าเดินบนน้ำและห้ามลมพายุ เมื่อวานก่อนไกด์ได้บอกว่า
เมื่อเรามาที่นี่เราถือว่าเป็นผู้มีความเชื่อ แต่จะมีความเชื่อมากแค่ไหนก็ต้องทดสอบด้วยการเดินบนน้ำ จึงหาอาสาสมัคร ทุกคนก็บอกให้ผมเป็นตัวแทน เมื่อขึ้นและล่องไปตามทะเล สิ่งแรกคือเราเอาธงชาติไทยขึ้นเสา พร้อมกับเปิดเพลงชาติไทย หลังจากนั้นเจ้าของเรือที่เป็นนักร้อง ได้ต้อนรับเราได้บทเพลง Amazing grace ไพเราะมาก หลังจากนั้นไกด์ได้เตรียม
เสื้อชูชีพให้ผมใส่ เอาอุปกรณ์ต่าง ๆ ออก
เตรียมพร้อมที่จะเดินบนน้ำ
เราทั้งสองก็คล้องแขนกัน ทำท่าว่าจะวิ่งกระโจนลงน้ำ แต่ในมือไกด์ถือน้ำแก้วหนึ่ง เมื่อเราวิ่งสองก้าวไกด์ก็เทน้ำออก เราก็เดินบนน้ำที่อยู่บนเรือ สรุปแล้วเราก็เดินบนน้ำได้แต่ไม่ใช่ในทะเล เมื่อออกทะเลไปสักพักประมาณหนึ่งชั่วโมง เราก็เดินทางกลับมาขึ้นฝั่ง เพื่อไปทานอาหารเที่ยง วันนี้เมนูเด็ดคือปลานักบุญเปโตร เมื่อไปถึงภัตรคาร ก่อนอาหารหลักจะอาหารมารองท้องก่อน ส่วนใหญ่จะเป็นสลัด ที่นี่อุดมสมบูรณ์มากในเรื่องผักผลไม้
(ส้ม) ภัตรคารที่เรามาทานอาหารนี้อยู่ริมทะเลสาบกาลิลี เป็นที่ที่นากยกรัฐมนตรีอิสราเอลและกษัตริย์ฮุสเซนแห่งจอร์แดนทำสัญญามิตรภาพกัน
ตอนบ่ายเราเข้าไปที่แม่น้ำจอร์แดนที่ที่นักบุญยอห์บัปติส์ตทำพิธีล้างให้พระเยซูเจ้า
ที่นี่มีคนจำนวนมากมารื้อฟื้นพิธีศีลล้างบาป สามารถเปลี่ยนชุดสีขาวลงไปจุ่มตัวในน้ำได้ แต่กลุ่มของเราไม่มีใครทำ เพราะอากาศหนาว น้ำเย็นมาก
มีแค่บางคนเท่านั้นที่ตักน้ำเทลงบนศีรษะโดยคุณพ่อสมเกียรติ จากที่นี่เราวนขวาทะเลสาบกาลิลีเพื่อไปชมเมืองคาร์เปอนาอุม เยี่ยมชมบ้านนักบุญเปโตร รวมทั้งตึกร้างสร้างสมัยโรมัน ศาลาธรรมของชาวยิว จากนั้นไปที่วัดพระเยซูเจ้าทวีขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวเลี้ยงคนจำนวน
5 พันคน และสุดท้ายก่อนกลับโรงแรมแวะไปที่วัดที่พระเยซูเจ้าแต่งตั้งนักบุญเปโตรให้ดูแลพระศาสนจักรแทนพระองค์ อยู่ริมทะเลสาบ
ที่นี้เป็นที่ที่เดียวที่เราสามารถสัมผัสทะเลสาบกาลิลีบนชายหาด จากที่นี่เราก็กลับโรงแรม
22 กุมภาพันธ์
2555
เราใช้เวลา 3
วันอยู่ทางเหนือของประเทศ
วันนี้เราจะกลับไปเยรูซาเล็ม
โดยออกทางชายแดนระหว่างอิสราเอลกับจอร์แดน
โดยมีแม่น้ำจอร์แดนเป็นเส้นแบ่งเขตแดน
เราออกจากทีเบเรียส
วิ่งทางฝั่งทะวันออกของประเทศอิสราเอล
ล่องใต้ลงมา
เราสามารถเห็นความแตกต่างของสองประเทศอย่างชัดเจน ในพื้นที่ลักษณะเดียวกัน ฝั่งอิสราเอลเต็มไปด้วยผลไม้ พืชพันธ์เขียวชะอุ่ม แต่ฝั่งจอร์แดนนั้นแห่งแล้งกันดาร รถวิ่งลงมาเรื่อย ๆ
ระหว่างทางในรถก็มีการแนะนำตัวกัน
ทัวร์ของเราครั้งนี้มีคนที่ไม่ใช่คาทอลิกมาด้วย สมาชิกมีทั้งอัยการ คุณหมอ
ผู้ตรวจบัญชี ซิสเตอร์ คุณพ่อ
และฆราวาส เช่นกันในระหว่างทางเรามีด่านทหารเป็นระยะ เพื่อความปลอดภัย ยิ่งลงมาเรื่อย ๆ
พื้นที่ก็เริ่มแห้งแล้งมากขึ้น มองไปทางขวาซึ่งอยู่ใกล้กว่าเป็นถิ่นทุรกันดาร ไม่มีต้นไม้แม้แต่ต้นเดียวมีแต่ดินกับหินเท่านั้น จากทีเบเรียสไปยังเมืองเยรีโคนั้นระยะทาง 120
กม.
เมืองเยรีโคนี้ได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่เก่าแต่ที่สุด เพราะถูกอ้างถึงในสมัยโยซูวา
เวลานี้ก็เป็นเมืองเยรีโคเหมือนเดิมและปัจจุบันอยู่ในเขตปกครองของปาเลสไตน์
เมืองเยรีโคตั้งอยู่ในหุบเขาจอร์แดน
ลักษระคล้ายท้องะทะ
ทางเหนือเริ่มจากภูเขาเฮอร์โมน ลงไปถึงทางใต้ถึงอ่าวกะทะคิดเป็นความยาว 280
ไมล์ ส่วนที่ตำสุดของหุบเขานี้คือทะเลตาย
ตั้งอจู่ 1,300 ฟุตใต้ระดับน้ำทะเล
เป็นจุดที่ต่ำที่สุดในโลก
เมื่อถึงเมืองเยรีโคเป้าหมายแรกคือทำมิสซาพุธรับเถ้าที่วัดพระเยซูเจ้านายชุมภาบาล เมื่อเสร็จจากมิสซา เราขึ้นกระเช้าขึ้นไปบนภูเขาที่พระเยซูเจ้าถูกประจญ ในศตวรรษที่ 6 มีการสร้างวัดตามถ้ำ และถูกทิ้งร้างไปจนถึงศตวรรษที่ 13 แต่ในปี 1847
ฤาษีกรีกออร์โธดอกซ์
ได้มาตั้งสำนักอยู่และสร้างอารมขึ้นมา สร้างติดหน้าผา
สมัยหนึ่งผู้ที่เคร่งศาสนาก็ไปขุดโพรงจำศีลอยู่
บางคนก็ตายในโพรงเพราะไม่มีใครส่งเสบียงอาหารให้ ที่นี่ต้องรอคิวเพื่อที่จะเข้าไปในวิหารของออร์โธดอกซ์ใช้เวลานานพอสมควรกว่าจะได้เข้าไป ข้างในของวิหารมีรู้ไอคอนมากมายที่สวยงาม เมื่อชมไปรอบ ๆ เสร็จแล้วเรากลับมาที่ร้านอาหารการประจญ เป็นอาหารเลือกกินตามสบาย
และที่นี่เป็นร้านอาหารและห้างสรรพสินค้าที่เดียวในเมืองที่อยู่ในทะเลทราย หลังอาหารทุกคนเลือกซื้อของกินของใช้ตามสบาย แต่ต้องคิดเผื่อน้ำหนักของที่จะเอากลับไปบ้านด้วย เพราะสายการบินนั้นอนุญาตน้ำหนักกระเป๋าแค่ 23
กก.เท่านั้นถ้ามากกว่านั้นต้องเสียเงินเพิ่ม
ฉะนั้นแม้อยากได้ของมากมายแต่ก็ไม่สามารถซื้อตามใจปรารถนาได้
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยเราก็เดินทางต่อไปที่กุมราน ที่ที่ชาวเบดูอินได้ค้นพบต้นฉบับพระคัมภีร์ในถ้ำที่บรรจุไว้ในไหในปี
1947 ข้างในไหมีหนังสือม้วนที่มีแต่อักษรที่พวกเขาอ่านไม่ออก
จึงมาขายต่อให้คริสตชน
ครสิตชนคนนั้นจึงนำม้วนหนังสือนี้ให้พระสังฆราชที่กรุงเยรูซาเล็มดู
ท่านรู้ว่าเป็นภาษากรีกโบราณที่บันทึกพระคัมภีร์จึงซื้อต่อไว้ทันที ในปี 1949
จึงำไปที่สหรัฐมีศาสตรจารย์ อีคาแอล ยา-ดิน ได้ซื้อต่อในราคา 250,000
เหรียญ หนังสือนี้ทำมาจากกระดาษต้นกก มี 2
ม้นที่จารึกบนแผ่นทองเหลือง
ใช้เวลาที่ประมาณชั่วโมง เป้าหมายต่อไปคือทะเลตาย ทะเลตายมีความยาว 47 ไมล์ กว้าง 10 ไมล์
มีพื้นที่ 360 ตารางไมล์ มีอัตราความหนาแน่นเฉพาะมากที่สุด 26% อยู่กว่าระดับนำทะเลทั่วไป 1,300 ฟุต
ทะเลตายมีสสารอยู่มากที่สุด
เพราะน้ำไม่ได้ระบายออก
มีแต่ระเหยออกไปเท่านั้น ประเทศอิสราเอลห่างกันไม่กี่ร้อยกิโลเมตรมีอะไรที่แตกต่างกันมาก ทางเหนือสุดมีหิมะปกคลุม ลงมาอีก 120 กม.มีทะเลสาบน้ำจืด ลงมาอีก 120 กม.มีทะเลตายซึ่งเป็นทะเลที่เค็มที่สุดที่คนลงไปนอนแล้วไม่จม โคลนที่นี่ใช้พอกตัวทำให้ผิวหนังนุ่มนวล แต่ผมคิดว่าของแท้ย่อมดีกว่าเสมอ จึงไม่จำเป็นต้องพอกตัว
แต่ที่อยากคืออยากจะพิสูจน์เช่นกันว่าในทะเลตายนั้นเราลอยได้ แต่ที่ต้องระวังคืออย่าให้น้ำเข้าตา เพราะความเค็มของน้ำจะทำให้เกิดความเจ็บปวดได้ ก่อนที่จะมาที่ทะเลตายเรารู้มาก่อนแล้วเพราะนั้นทุกคนก็เตรียมชุดสำหรับเล่นน้ำ เมื่อไปถึงต่างคนต่างไปเปลี่ยนชุดและรีบวิ่งลงไปในทะเล แต่การลงทะเลที่นี่ ต้องลงแบบถอยหลังไม่ใช่ดำลงไป ไม่เช่นนั้นผมอาจจะหายไปเลยก็ได้ เราก็เดินถอยหลังลงไปแล้วนอนลง เป็นจริงอย่างที่เขาว่า สามารถลอยได้จริง ๆ แต่เราไม่สามารถอยู่ในน้ำได้นาน
เพราะความเข้มของเกลือและอากาศที่หนาวเย็น
แม้จะเป็นทะเลทรายแต่อากาศในช่วงนี้หนาวมาก เพราะฉะนั้นเราจึงใช้เวลาที่นี่ไม่นานเท่าไหร่ ประมาณครึ่งชั่วโมงทุกคนก็กลับมาที่รถหมดแล้ว
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยเราก็มุ่งสู่กรุงเยรูซาเล็ม เมื่อถึงเยรูซาเล็มเราก็เข้าพักที่ Dan
Jerusalem Hotel
23 กุมภาพันธ์
2555
เช้านี้เราต้องตื่นเร็วกว่าปกติครึ่งชั่วโมง
เพราะสถานที่ที่เราจะไปนั้นสำคัญและมีคนมาก เราจึงออกจากโรงแรม 07.30 น. มุ่งไปกรุงเยรูซาเล็ม กรุงเยรูซาเล็มเป็นเมืองที่พระเจ้าเลือกสรรไว้ ให้เป็นป้อมแห่งความเชื่อถึงพระเจ้า
จากเนินเขาที่โล่งแจ้งนี้บรรดาประกาศกแลพระคริสตเจ้าทรงปรกาศคำสอนของพระเจ้าและบัญญัติแห่งความรัก เมืองนี้เป็นเมืองแห่งศาสนา เพรื่องครึ่งหนึ่งของประชากรโลกความเชื่อเริ่มต้นจากที่นี่
ไม่ว่าคริสต์ มุสลิมหรือยิว
สำหรับเราคริสตชนเป็นที่ที่พระเยซูเจ้าประกอบภารกิจสุดท้ายก่อนสิ้นพระชนม์ กรุงเยรูซาเล็มเมืองศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในโลกยังได้เป็นเมืองที่ทารุณโหดร้ายแห่งสงครามและการหลั่งเลือด ณ ประตูเมืองแห่งนี้มีการสู้รบมากกว่าเมืองอื่น
ๆ ในโลก กรุงเยรูซาเล็มถูกล้อมกรอบมกาว่า
50 ครั้ง ถูกยึดถึง 34 ครั้งและถูกทำลายมากว่า 10 ครั้ง
ไม่มีผู้ใดทราบว่ากรุงเยรูซาเล็มมีตัวตนเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ครั้งแรกที่พระคัมภีร์พูดถึงคือสมัยอับราฮัม
โดยมีชื่อว่า “ซาเล็ม” ซึ่งแปลว่าสันติสุข (ปฐก 13:18)
เมื่อเรามาถึงประตูกรุงเยรูซาเล็มฝั่งตะวันตก
เป้าหมายแรกคือโดมทองคำซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขาโมรีอา
โดมทองคำนี้ได้ครอบยอดเขาโมรีอาเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของมุสลิมพอ
ๆ กับกาบะที่เมกกะและ หลุมฝังศพของประกาศกมะหะหมัดที่เมดินาประเทศซาอุดิอาระเบีย เป็นสุเหร่าที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของมุสลิม
ตลอดระยะเวลา 13 ศตวรรษที่ผ่านมา โดมได้ครอบหินถูกซ่อมแซมหลายครั้ง แต่รูปทรงยังคงเป็นแบบเดิม เมื่อพวกครูเสดยึดกรุงรูซาเล็มในปี ค.ศ.
1099
สุเหร่าแห่งนี้ถูกดักแปลงเป็นอาสนวิหารของพระเจ้า หลังครูเสดพ่ายแพ้ในปี
ค.ศ. 1187 กางเขนที่เคยตั้งตระหง่านอยู่กว่า 88 ปีบนยอดโดมก็ถูกย้ายออก
และนำเอาสัญญลักษณ์พระจันทร์เสี้ยวเข้ามาแทนที่
ตั้งวแต่นั้นก็กลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของมุสลิมจนถึงทุกวันนี้ รูปทรงภายนอกมี 8 เหลี่ยม แต่ละด้านกว้าง 63
ฟุต ความสูงจากพื้นดิน 180 ฟุต เส้นผ่าศูนย์กลางของโดม 78 ฟุต
โดมทำด้วยอลูมะเนียมชุบทองคำกว่า 90 กก.
จุดที่ตั้งโดมทองคำ ในปฐมกาลเป็นที่ที่อับราฮัมพาอิสอัคไปถวายพระเจ้าหรือยอดเขาโมรีอานั่นเอง
การที่จะเข้าสถานที่ที่นี้ได้ต้องผ่านการตรวจอย่างละเอียด แม้แต่ห้อยกางเขนให้เขาเห็นก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นบรรดาซิสเตอร์ก็ต้องเอากางเขนไว้ในเสื้อ อย่างที่บอกเราต้องมาแต่เช้า
เพราะขนาดที่เรามาแต่เช้าแล้วเรายังต้องไปต่อคิวอีกตั้งนาน เมื่อผ่านเข้าไปที่ด่าน
ก็จะมีสะพานยาวขึ้นไปโดยที่ล้อมกรอบด้วยไม้
ตรงทางเดินมีทหารเตรียมพร้อมเสมออยู่เป็นกลุ่มใหญ่ พวกเราก็ผ่านทหารไป
ผมก็ถือโอกาสไปถ่ายรูปกับทหารเหล่านั้นด้วย
เมื่อผ่านขึ้นไปข้างบนก็เป็นลานกว้างอยู่หน้าโดม ไกด์มี่นำเราก้ได้อธิบายให้เราเข้าใจมากขึ้นว่าที่นี่มีความสำคัญอย่างไร มีระเบียบปฏิบัติอย่างไร ฯลฯ สักพักมีเสียงโห่ขึ้นมาจากกลุ่มมุสลิมที่อยู่ตรงนั้น เรามองไปเห็นทหารนำคนสองสามคนเดินชมสถานที่ ซึ่งไกด์บอกว่าเป็นชาวยิวที่ขึ้นมาดู และพวกมุลิมไม่ชอบ ก็เลยโห่
แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
เพราะมีทหารอิสราเอลคุ้มกัน สิ่งที่น่าแปลกคือพื้นแผ่นดินนี้เป็นประเทศอิสราเอล แต่สงวนสถานที่นี้ไว้ให้ชาวมุสลิม และดูแลคุ้มครองให้เต็มที่ด้วย เนื่องจากเป็-นยอดเขาเราสามารมองออกไปรอบ ๆ
ได้ และตรงข้ามกับโดมนี้
ก็เป็นสุสานของชาวยิวที่ถูกฝังไว้รอการเสด็จมาของพระแมสซิอาห์ เช่นกันตรงข้ามกับสุสานชาวยิวฝั่งที่เป็นโดม เป็นสุสานมุสลิม เป็นการป้องกันไม่ให้พระแมสซิยาห์ขึ้นมาที่โดมได้ จากโดมของมุสลิมเราลงมาข้างล่างเป็นสถานที่ภาวนาของชาวยิวคือ
กำแพงร้องไห้
กำแพงร้องไห้
(กำแพงตะวันตก) เป็นสักการะสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวยิว พวกเขาถือว่าเป็นพระธาตุของพระวิหารหลังสุดท้าย
กำแพงตะวันตกนี้เป็นส่วนหนึ่งของกำแพงที่กษัตริย์เฮโรดได้สร้างรอบ ๆ
พระวิหารหลังที่ 2 ปีที่ 20 ก.ค.ศ. ใน
ค.ศ. 70 มหาจักพรรด์มิได้ทำลายส่วนนี้
ซึ่งสร้างด้วยก้อนหินขนาดใหญ่
เพื่อให้เป็นประจักษ์พยานแก่ชนรุ่นหลังถึงอนุภาพของทหารโรมัน ในยุคปกครองของโรมัน ชาวยิวไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาที่นี่ แต่สมัยไบเซนติน พวกเขาได้มาปีละครั้ง ในวันระลึกถึงการทำลายพระวิหาร เพื่อแสดงความทุกข์ต่อการกระจัดกระจายของชาวยิว
และร่ำไห้เหนือซากของพระวิหารศักดิ์สิทธิ์
ซึ่งเป็นซากกำแพงเก่าของกรุงเยรูซาเล็มที่ถูกทำลาย ตั้งแต่ปี 1948-1967
ชาวอิสราเอลไม่สามารถเข้ามาสวดภาวนาในสถานที่นี้ได้ เนื่องจากอยู่ในการปกครองของจอร์แดน หลังสงครามหกวัน
กำแพงร้องไห้นี้กลายเป็นสถานที่เพื่อแสดงความชื่นชมยินดีระดับชาติ อีกทั้งเป็นสถานที่เพื่อนมัสการและภาวนา
ที่นี่ชาวยิวจะมาภาวนาร่วมกัน
ในการเข้าไปที่นี่ทุกคนต้องสวมหมวกอย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าไม่มีเขาก็เตรียมหมวกกิปปาให้ หมวกลักษณะคล้ายกับของพระสังฆราชที่เป็นผืนเล็ก
ๆ บนศรีษะ แต่เป็นสีขาว เมื่อเราได้หมวกแล้ว เราก็ไปสวดภาวนาที่กำแพงร้องให้ บรรดาชาวยิวส่วนใหญ่มาภาวนาโดยใช้พระคัมภีร์ เป็นหมู่คณะหรือเป็นบุคคลแล้วแต่สะดวก ซึ่งทุกคนตั้งใจสวดไม่ได้สนใจใคร เห็นแล้วน่าชื่นชมในการปฏิบัติตามความเชื่อ
กำแพงกรุงเยรูซาเล็มปัจจุบันยังตั้งตระหง่านอยู่อย่างน่าชื่นชม
รูปทรงปัจจุบันนี้เป็นผลงานการสร้างของชาวเติร์กภายใต้การปกครองสุไลมานมหาราช ในปี ค.ศ. 1542 รอบ ๆ กำแพงมีความกว้างกว่า 2 ไมล์ครึ่ง ความสูงเฉลี่ 40 ฟุต มีหอ 34 หอ มีประตูอยู่ 8
ประตู
ประตูดามัสกัสและประตูเฮโรดอยู่ทางเหนือ
ประตูสเตเฟนและประตูทองซึ่งพวกเติร์กปิดในปี ค.ศ. 1530 อยู่ทางตะวันออก ประตูที่ใช้ในการขนขยะและประตูศิโยนอยู่ทางใต้ ส่วนประตูยัฟฟาอยู่ทางตะวันออก
หลังจากออกจากที่กำแพงร้องให้ เราก็ตรงไปที่วัดที่พระเยซูเจ้ารับประทานงานเลี้ยงมื้อสุดท้ายและตั้งศีลบวชพระสงฆ์ วัดแห่งนี้ไม่ได้ถูกทำลายในปี ค.ศ. 70 เพราะตั้งอยู่นอกบริเวณการต่อสู้ วัดแห่งนี้ถูกขยายโดยไบเซนตินในปี ค.ศ. 614
และถูกชาวเปอร์เซียทำลาย และพวกครูเสดได้สร้างขึ้นมาใหม่ในศตวรรษที่
12 โดยตัวอาคารประกอบด้วย 2 ชั้น ในปี ค.ศ. 1176 หีบศพของกษัตริย์ดาวิดถูกนำมาไว้ที่ชั้นล่างของวัดหลังนี้
ในปี 1552 ชาวเติร์กได้ขับไล่ชาวคริสตออกจากวัดและทำเป็นสุเหร่า เราสวดภาวนาสักครู่แล้ว เราก็เดินทางต่อไปยังวัดแม่พระบรรทม เป็นอาคารที่สง่าที่สุดที่ตั้งอยู่บนภูเขาศิโยน เป็นสถานที่พระนางมารีย์สิ้นพระชนม์ ในปี
1100
พวกครูเสดได้สร้างวัดใหญ่ที่มีชื่อว่า พระนางมารีแห่งภูเขาศิโยน วัดนี้ถูกทำลายในปี 1219 จากพวกมุสลิม
ในปี 1898
ชาวเติร์กได้มอบสถานที่นี้ให้แก่จักรพรรดฺเยอรมัน ซึ่งพระองค์ทรงมอบให้แก่ฤาษีเบเนดิกติน และสร้างวัดหลังปัจจุบันในปี 1910 ออกจากวัดแม่พระนิทราลงไปต่อที่วัดนักบุญเปโตรไก่ขัน
วัดนักบุญเปโตรไก่ขันสร้างในปี
ค.ศ. 1931 สถานที่ถือกันว่าเคยเป็นบ้านของมหาสมณะคายาฟาส หลังจากพระเยซูเจ้าถูกจับกุม
พระองค์ถูกนำมาที่นี่และที่นี่เองที่เปโตรปฏิเสธพระเยซูเจ้าสามครั้ง วัดหลังนี้มีสามชั้น ชั้นแรกเป็นวัดสำหรับทำมิสซาทั่วไป ชั้นที่ 2 มีบ่อน้ำที่เป็นที่ขังนักโทษ และชั้นที่สามเป็นที่พระเยซูเจ้าถูกคุมขังไว้ พวกเราลงไปสวดภาวนากันที่นั่น
เนื่องจากมีกลุ่มอื่นที่ตามมารออยู่ข้างนอกจำนวนมาก เราจึงไม่สามารถอยู่ได้นาน ออกจากวัดนักบุญเปโตรไก่ขันเราตรงไปที่เมืองเบธเลเฮม
ห่างจากเยรูซาเล็ม 8 กม.
ซึ่งในเขตปกครองของปาเลสไตน์ซ้อนอยุ่ในประเทศอิสราเอล
เพราะฉะนั้นการที่จะเข้าไปเมืองเบธเลเฮมได้ต้องผ่านด่านตรวจอย่างเคร่งครัด เพราะมีกำแพงใหญ่ล้อมรอบ ไม่ให้ชาวปาเลสไตน์ออกมาได้ เมื่อผ่านด่านเข้าไปแล้ว เราตรงไปที่ภัตรคารเพื่ออาหารเที่ยง ซึ่งเป็นอาหารพื้นเมือง เสร็จแล้วเราดินทางขึ้นไปที่วัดออร์โธดอกซ์
คือวิหารพระเยซูเจ้าทรงบังเกิด
วิหารพระเยซูเจ้าทรงบังเกิด
รูปทรงด้านนอกคล้ายกับป้อมที่แข็งแรงของสมัยกลาง วัดนนี้ถูกล้อมด้วยกำแพงอารามสามแห่ง ตอนแรกมีประตูสามประตู
แต่สองในสามได้ถูกปิดจากำแพงด้านหน้า
ส่วนประตูกลางเหลือแต่ประตูเตี้ย ๆ เพื่อเข้าไปข้างใน ประตูนี้ถูกทำให้เตี้ยลง 2 ครั้ง เพื่อไม่ให้โจรสามารถขี่ม้าเข้าไปได้ อาสนวิหารแห่งนี้รูปทรงเป็นกางเขนยาว 170 ฟุต
กว้าง 80 ฟุต ตัววิหารแบ่งออกเป็น 5 ส่วน
จากแนวต้นเสา 4 แถวที่ทำด้วยหินแดงจากปาเลสไตน์
ในปี 1936 ได้พบเศษของโมซาอิกในศตวรรษที่ 4
ส่วนด้านหน้าที่ใช้ประกอบพิธีอยู่เหนือถ้ำพระกุมารพอดี บันไดสองข้างที่นำไปสู่ถ้ำพระกุมารยาว 35 ฟุต
กว้าง 10 ฟุต มีตะเกียงอยู่ 48 อัน มีดาวเงินที่จารึกเป็นภาษาลาตินว่า “ ณ ที่นี่
พระเยซูเจ้าได้ทรงบังเกิดจากพระนางมารีย์”
โดยมีรางหญ้าอยู่ทางขวา
สัญญลักษณ์ดาวเงินนี้อยู่ใต้พระแท่น
เราจึงต้องก้มลงกราบเพื่อที่จะจูบได้
มิสซาวันคริสตมาสที่ถ่ายทอดไปทั่วโลกนั้นได้ถ่ายทำจากวัดนี้แต่เป็นส่วนที่คาทอลิกดูแล
ที่ถ้ำพระเยซูเจ้าบังเกิดนี้เราก็ร้องเพลงคริสตมาสด้วยกัน
ทีนี่ก็ต้องต่อคิวอีกเช่นกัน
เพราะมีคนจำนวนมาก
เราต้องรอนานพอสมควร
เมื่อเราได้เขาไปแล้วที่พลาดไม่ได้เลยคือ ทุกคนจะต้องได้ถ่ายรูปกับดาวดาวิดในที่พระเยซูเจ้าบังเกิด
เมื่อได้ถ่ายรูปกันทุกคนแล้ว ออกจากวัดเพื่อไปทำมิสซาที่ทุ่งเลี้ยงแกะ
ซึ่งเป็นสถานที่ที่ทูตสวรรค์มาแจ้งข่าวดีแก่คนเลี้ยงแกะว่าพระเยซูเจ้าได้บังเกิดแล้ว ถือว่าโชคดี
เพราะเราได้ทำมิสซาในวัดหลัก
เราถือโอกาสร้องเพลงคริสตมาสในมิสซาด้วย
มิสซาเสร็จแล้ว ไกด์ได้นำพวกเราไปซื้อของที่ระลึกในร้านของคริสตชน ซึ่งมีของที่ระลึกมากมาย โดยลดยี่สิบเปอร์สำหรับกลุ่มทัวร์ของเรา สำหรับพ่อได้มากกว่านั้นอีก เพราะเขาแถมคูปองอีกห้าสิบเหรียญ
(หนึ่งพันห้าร้อยบาท)
แต่พ่อก็ซื้อของหมดไปหลายร้อยเหรียญเหมือนกัน เมื่อทุกคนได้ของตามที่ต้องการแล้วเราก็กลับโรงแรมที่พัก
24 กุมภาพันธ์
2555
วันนี้เป็นวันศุกร์ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราขาดไม่ได้คือการเดินรูป
14 ภาค และวันนี้เราไปในเขตกรุงเยรูซาเล็มในเขตที่เป็นชุมชนมุสลิม เราเริ่มต้นที่วัดนักบุญอันนา
ซึ่งถือว่าที่นี่เป็นบ้านของนักบุญอันนและนักบุญยออากิ
บิดามารดาของแม่พระ
วัดนี้ถูกสร้างขึ้นในปี 1100 โดยมเหสีของกษัตริย์โบดวงที่ 1 หลังการพ่ายแพ้ของพวกครูเสด
ซาลาดินได้ดักแปลงวัดนี้เป็นสถานที่สอนศาสนาอิวลามระดับสูง ในปี 1856 สุลต่าสนอับดุลมายิก ได้มอบให้แก่กษัตริย์นโปเลียน
เป็นค่าตอบแทนที่ได้ช่วยทำสงคราม
และข้างหน้าของวัดนี้ เป็นสระนำเบธเทสดา
สระน้ำนี้อยู่ภายในกำแพงเยรูซาเล็ม
ห่างจากประตูสเคเฟนไม่กี่หลา
มันเป็นจุดนัดพบของคน ที่ที่พระเยซูเจ้าทรงรักษาคนที่ป่วยมานาน 38 ปี สระนี้มีความยาวราว
2352 ฟุต กว้าง 200 ฟุตและลึก 25 ฟุต ทุกด้านมีเฉลียงโดยรอบ เราถือโอกาสสวดภาวนาเพื่อบรรดาคนป่วยทั้งหลายที่นั่น
จากนั้นเราไปต่อที่วัดที่พระเยซูเจ้าถูกโบยตีและถูกตัดสินประหารชีวิต เราทำมิสซาที่วัดนี้ หลังมิสซาเราเริ่มเดินรูป 14 ภาค
เราใช้วัดนี้สำหรับสถานที่ 1-2 จากนั้นเราก็เดินไปตามทางและจะมีสถานที่สาม
สี่ ห้า ต่อไปเรื่อย ๆ บางที่มีวัดน้อยเราสามารถเข้าไปได้ แต่ก้ต้องรีบออกมา เพราะมีคนต่อคิวตลอด เมื่อมาถึงสถานที่ 10-14 เราต้องทำที่เดียวกัน (ซึ่งอยู่ในโชนของคริสตเตียน)
เพราะเราไม่สามารถเข้าไปทำในวัดได้ และจากนี้ไปเราจะเข้าไปในพระคูหาของพระเยซูเจ้าและขึ้นไปยังยอดเขากัลวารีโอ
วัดพระคูหาศักดิ์สิทธิ์
ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของชาวคริสต์
ได้ครอบเนินเขากลโกธาสถานที่รพะยซูเจ้าถูกตรึงกางเขน
และคูหาซึ่งพระศพของพระเยซูเจ้าถูกวางไว้
การตรึงพระองค์ได้เกิดขึ้นนอกกำแพงเมือง ตั้งแต่ถูกสร้างครั้งแรกใน
324
วัดพระคูหาศักดิ์สิทธิ์อยู่ใจกลางเมืองภายในบริเวณกำแพงแรก เนินเขากลโกธาอยู่นอกกำแพงเมือง แต่ 11
ปีหลังจาการตรึง เมื่อมีการสร้างกำแพงเมืองใหม่โดยกัตริย์เฮโรด อากริปปา
เนินนี้ได้อยู่ในกำแพง
กลางศตวรรษสุดท้ายนี้ได้มีการค้นพบซากกำแพงเก่า ทางด้านตะวันออกและทิศเหนือของวัด ในปี 135
กษัตริย์เอเดรียนต้องการลบล้างทุกอย่างที่เป็นการระลึกถึงศาสนายิวและคริสต์
จึงได้ลบล้างเนินกัลวารีโอและที่วพระศพขอิงพระเยซูเจ้า
โดยการสร้างสักการะสถานถวายแด่พระเจ้าจูปีเตอร์ แต่ได้ผลตรงข้าม เพราะกลับเป็นการรักษาเสียอีก กษัตริย์คอนสแตนตินได้ขุดพบอีกครั้งหนึ่ง และภายใต้พระมารดาพระราชินีเฮเลนา
ได้ทรงสร้างพระวิหารที่สง่างามครอบเนินเขากัลวารีโอและพระคูหา และถูกทำลายในปี 614 ถูกสัรางขึ้นมาใหม่เล็กกว่าเดิม แต่ก็ถูกทำลายอีกในปี 1009 โดยกาลิบฮาเล็ม และถูกบูรณะซ่อมแซมใหม่ในปี 1048 และ 1149 ปัจจุบันอยู่ในความดูแลของคณะที่ต่างกัน 6
หมู่คณะ
ตามที่ได้กำหนดไว้ดดยผู้ปกครองชาวเติร์กเมื่อปี 1852 เมื่อ
เราเข้าไปในวัดแล้ว
เราก็พบว่ามีคนจำนวนมากรอที่จะเข้าไปในพระคูหา พระคูหานั้นสามารถเข้าได้ครั้งละ 5
คนเท่านั้น ตรงเนี้องที่เราต้องยืนรอนานที่สุด
เพื่อไม่ให้เกิดการแซงคิวเราต้องยืนชิดกันมาก แม้จะมีคนจำนวนมากเราก็ไม่รู้สึกร้อน เพราะอากาศหนาวมาก
ถ้าเป็นหน้าร้อนคนเฒ่าคนแก่ทั้งหลายคงจะสลบไปแน่นอน และที่พลาดไม่ได้คือทุกคนต้องถ่ายรูปเมื่ออกจากพระคูหา เมื่อครบทุกคนแล้ว
เราก็ขึ้นไปชั้นที่สองที่นี่เราต้องต่อคิวแบบคุกเข่ากันอย่างเรียบร้อย เพราะเป็นยอดเขากัลวารีโอ ที่ถูกสร้างครอบไว้ด้วยแท่น เราจึงต้องล้วงลงไปสัมผัสกับยอดเขา ตรงนี้เท่านั้นที่ครอบครองโดยคาทอลิก
ออกจากที่นี่เราลงมาข้างล่าง เป็นหินอ่อนแผ่นใหญ่แสดงที่วางพระศพพระเยซูเจ้า
(เชื่อกันว่าแผ่นหินแรกที่วางพระศพนั้นอยู่ใต้แผ่นหินนี้) มีคนเอาผ้าเช็ดหน้า
ผ้าพักคอลูบไปตามพื้นหิน
ซึ่งมีน้ำหอมชะโลมอยู่
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้วก็ได้เวลาอาหารเที่ยง วันนี้แม้จะเป็นวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ แต่ทางไกด์ได้จัดอาหารจีนในภัตรคารจีนให้เรา หลายคนถามกันว่าจะกินเนื้อได้หรือไม่ ได้คำตอบจากพ่อสมเกียรติว่า ในการเดินทางเราไม่มีทางเลือก สามารถกินได้
ชดเชยด้วยการทำบุญทำทานตามวัดต่างก็ได้
หลังอาหารเที่ยงเราไปที่ตลาดเพื่อซื้อของที่เอากลับบ้าน เนื่องจากว่าวันเสาร์เป็นวันหยุดของชาวยิว
(สับบาโต)
เพราะฉะนั้นตลาดจึงคึกคักมาก
คนพยายามจะซื้อของกันเพราะห้าโมงเย็นก็จะเริ่มวันหยุด และเมื่อถึงเวลาร้านขายของก็หยุดทันที คนไทยเราเมื่อไปตลาด เจอของมากมาย วิญญาณพี่ไทยเข้าสิงทันที บางคนรู้ทั้งรู้ว่าน้ำหนักเกินแล้ว แต่ก็จะซื้อสักอย่าง เมื่อซื้อของเสร็จแล้วเราก็ต่อไปยังหมู่บ้านอาอิน
การิม
เชื่อว่าเป็นบ้านเกิดของนักบญยอห์นบัปติสต์ หมู่บ้านนี้อยู่ไม่ไกลจากรุงเยรูซาเล็มนัก ในศตวรรษที่ 5
ได้มีการสร้างวัดครอบถ้ำที่เชื่อกันว่าเป็นบ้านของเศคาริยาห์ และสถานที่เกิดของนักบุญยอห์น บัปติสต์
วัดนี้ถูกทำลายและสร้างขึ้นใหม่โดยพวกครูเสด วัดหลังปัจจุบันสร้างขึ้นในปี 1885 โดยนักบวชฟรังซิสกัน ในปี 1938
นักบวชฟรังซิสกันได้สร้างวัดชั้นบน
ตามผนังกำแพงที่ล้อมบริเวณหน้าวัดมีบทเพลง มานีฟีกัต
จารึกไว้ในแผ่นเซรามิกด้วยภาต่าง ๆ มากว่า 40 ภาษา
และหนึ่งในนั้นก็มีภาษาไทยด้วย วัดแม่พระเสด็จเยี่ยมนางเอลีซาเบธนี้ รถขึ้นไม่ได้
เราต้องเดินขึ้นเขาไกลพอสมควร
หลายคนไม่ได้ขึ้นไป เพราะสูงอายุ
เมื่ออยู่ได้สักพักหนึ่งเราก็เดินทางกลับโรงแรม
25 กุมภาพันธ์
2555
วันนี้เป็นวันสุดท้ายของทัวร์แสวงบุญในครั้งนี้ ทุกคนจัดกระเป๋าให้เรียบร้อย
ยกลงมาที่หน้าโรงแรมและรอขึ้นรถ
ก่อนที่จะเอากระเป๋าขึ้นรถได้ต้องแน่ใจว่ากระเป๋าเราแน่นอน ชี้ให้คนดูแลรถดูแล้วเขาจะยกให้ เมื่อของทุกอย่างขึ้นรถหมดแล้ว สถานที่ต่อไปคือวัดเบฟายี สถานที่พระเยซูเจ้าเสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็ม
หรือการเริ่มต้นแห่ใบลาน
เมื่อเยี่ยมชมและสวดภาวนาเสร็จแล้ว
เราเดินต่อไปที่เนินเขามะกอก หรือภูเขามะกอกเทศ
ภูเขามะกอกเทศ
ตั้งอยู่ทางตะวันออกของกรุงเยรูซาเล็ม
สุงกว่าราว 300 ฟุต
จากยอดเขามะกอกเทศสามารถชมทิวทัศนกรุงเยรูซาเล็มดีที่สุด
ภูเขานี้เป็นที่เคารพของชาวยิว
เพราะตามไหล่เขานั้นเป็นที่ฝังศพของประกาศกสำคัญหลายองค์ของพวกเขา และเป็นที่เคารพของชาวคริสต์ เพราะมีความผูกพันกับพระเยซูเจ้า จากที่นี่พระองค์ได้ทำนายถึงกรุงรูซาเล็ม บนภูเขานี้พระองค์ได้สอนบทข้าแต่พระบิดาให้แก่บรรดาศิษย์ของพระองค์
จึงมีการสร้าวัดพระบิดาขึ้นมา เพราะฉะนั้นที่นี่มีบทข้าแต่พระบิดามากกว่า 150
ภาษา และหนึ่งในนั้นมีภาษาไทยด้วย แต่เป็นแบบโบราณขณะผมยังไม่เคยใช้เลย วัดนี้ดูแลโดยซิสเตอร์จากฝรั่งเศส วัดนี้ถูกทำลายโดยเปอร์เซียปี 614 และสร้างขึ้นโดยพวกครูเสดในศตวรรษที่ 12 ต่มามุสลิมทำลายอีก ในปี 1868 เจ้าหญิงเอาเรลีอา เดบอสซี ได้ซื้อสถานที่และมอบแก่ฝรั่งเศส และในปี 1875
ได้สร้างอารามชีลับคาร์แมลไลท์
และศพของเจาหญิงก็ได้บรรจุอยู่ในอารามแห่งนี้
จากนั้นลงไปอีกที่หนึ่งเป็นสถานที่ชมทิวทัศน์ของเยรูซาเล็มที่ชัดเจนที่สุด ตรงนี้มีคนจำนวนมากเช่นกัน ส่วนใหญ่เก็บภาพบรรยากาศของเมืองเยรูซาเล็ม
เพราะมองไปข้างหน้าจะเห็นเมืองที่อยุ่ภายในกรุงเยรูซาเล็ม สถานที่ต่อไปคือวัดพระเยซูเจ้ากันแสง พระองค์กันแสงถึงความล่มสลายของกรุงเยรูซาเล็ม วัดนี้สร้างในศควรรษที่ 12 วัดนี้วัดเดียวที่เราไม่ได้เข้าไปข้างใน ที่นี่มีต้นไม้หนามที่ทำเป็นมงกุฎให้พระเยซูเจ้าด้วย จากวัดนี้ลงไปอีกที่สวนเกทเซมานี ในสวนเกทเซมานีนั้น มีต้นมะกอก 8 ต้นที่ถูกเก็บรักษาไว้ ผู้เชี่ยวชาญบางคนบอกว่า ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นต้นมะกอกสมัยพระเยซูเจ้า อายุของมันราว 3,000 ปี ผู้บันทึกประวัติศาสตร์โยเซฟุส ฟลาวีอุสเล่าว่า มหาจักรพรรดิ์ตีตัส ตัดต้นไม้ทุกต้นรอบกรุงเยรูซาเล็มในปี 70
ถ้าต้นมะกอกเหล่านี้ไม่ถูกตัด
ยังคงเป็นต้นเดียวกันในสมัยพระเยซูเจ้า
แต่ถ้าถูกตัดไปแล้ว ต้นปัจจุบันคงเกิดจากหน่อของต้นที่ได้เป็นพยานแห่งการเข้าตรีทูตของพระเยซูเจ้า
ติดกับสวนเกทเซมานี มีวัดนานาชาติ วัดนี้สร้างโดยทุนจาก 16 ประเทศ ข้างในวัดงดงามมาก มีแผ่นหินแผ่นใหญ่อยู่หน้าแท่น
ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นแผ่นหินที่พระเยซูเจ้าคุกเค่าสวดภาวนาก่อนที่จะถูกจับกุม
ออกจากที่นี่ได้เวลาอาหารเที่ยง เราก็ไปที่ภัตรคารอาร์เมเนียน ได้ชิมอาหารแปลกใหม่ของชาวอาร์เมเนี่ยน รสชาติไม่เลว
เมื่อเสร็จจากอาหารเที่ยงเราไปที่บ้านเบธานี บ้านของมารธา
มารี และลาซารัส ตำบลเบธานีตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของกรุงเยรูซาเล็ม
ห่างจากตัวเมืองราว 2 ไมล์ และมีวัดของลาซารัส
วัดของลาซารัสนี้ได้สร้างโดยพวกไบเซนติน 2 หลัง หลังแรกถูกทำลายโดยแผ่นดินไหว หลังที่สองถูกทำลายโดยเปอร์เซียในปี 614 ในศตวรรษที่ 12 พวกครูเสดได้สร้างวัดหลังที่
3 ต่อมาถูกยึดโดยมุสลิม นักบวชฟรังซิสกันได้ไถ่ถอนสถานที่นี้ตอนต้นศตวรรษนี้เอง ในปี 1949
พวกเขาได้รื้อสิ่งต่าง ๆ บนเนื้อที่ดังกล่าว ทำการขุดและพบซากของวัดหลังแรก ๆ
รวมทั้งซากอารามด้วย
วัดที่เห็นในปัจจุบันถูกสร้างในปี 1952 วัดลาซารัสนี้เป็นสถานที่ที่เราทำมิสซาสุดท้ายในแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์โดยใช้บทมิสซาวันอาทิตย์สัปดาห์แรกของเทศกาลมหาพรต
เนื่องจากเช้าวันอาทิตย์พวกเรายังคงอยู่ในการเดินทางบนเครื่องบิน
จบมิสซาแล้วยังมีร้านขายของที่ระลึกที่สุดท้ายที่เราจะซื้อได้ โดยลดราคา 20 เปอร์เซนต์ ใช้เวลาไม่นานทุกอย่างก็เรียบร้อย ขึ้นรถต่อไปยังเมืองจัฟฟาซึ่งอยู่ทางตะวันตกของประเทศอิสราเอลติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เป็นเมืองที่ปลาใหญ่ไปคายประกาศกโยนาห์ทิ้งไว้บนชายหาด
ที่นี่จะเป็นการรับรับประทานอาหารเย็นมื้อสุดท้ายหลังอาหารเราก็ได้มีพิธีขอบคุณคนขับรถและไกด์ของเรา ตลอดเวลาพวกเขาทั้งสองดูแลพวกเราดีมาก ไกด์ของเราได้ฝากว่า เวลานี้เราได้เพิ่มบรรดาผู้ประกาศข่าวดีอีก 34
คนเพื่อที่จะไปบอกอกล่าวให้กับคนอื่นถึงเรื่องราวของพระเยซูเจ้าที่เราได้ไปเห็นด้วยตนเอง
และให้เราได้กลับไปอ่านพระคัมภีร์อีกด้วย
จากนั้นจะต่อไปยังสนามบิน
ก่อนที่เราจะถึงสนามบิน
เราก็เตรียมตอบคำถามเจ้าหน้าที่อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งอาจจะใช้เวลามากว่าเดิม เมื่อถึงสนามบินแล้ว เจ้าหน้าที่ก็สัมภาษณ์พวกเราทีละคน
โดยเริ่มจากพ่อสมเกียรติซึ่งเป็นไปตามลำดับหมายเลข พ่อถูกสัมพากษ์ด้วยภาษาอังกฤษ ผมเป็นคนที่สองถูกสัมภากษ์เป็นภาษาอังกฤษ แต่เขาให้อ่านภาษาไทยเวลาตอบคำถาม เจ้าหน้าที่เองก็อ่านไม่ออก แต่พวกเราเตรียมกันมาก่อนแล้วการสัมภากษ์จึงไม่มีปัญหา แต่ที่มีปัญหาคือการตรวจกระเป๋า พ่อสมเกียรติบอกว่า ปกติเกือบร้อยเปอร์เซนต์ทุกคนจะต้องได้เปิดกระเป๋า แต่คราวนี้ดูเหมือนทุกอย่างจะราบรื่น มีที่ต้องเปิดกระเป๋าอยู่ประมาณ 10
รายเท่านั้น แต่ใช้เวลาพอสมควร
เมื่อทุกคนพร้อมกันที่ที่พักผู้โดยสารและได้เวลาขึ้นเครื่อง ก็เป็นเวลา 23.05 น. ซึ่งตรงกับเมืองไทยเวลา 03.05 น.
เช้าวันอาทิตย์ การเดินทางใช้เวลา 11
ชั่วโมง เมื่อขึ้นเครื่องเสร็จ
เครื่องบินบินขึ้นแล้ว
สิ่งต่อไปคือหลับ ทั้ง ๆ
ที่จะมีการเสริฟอาหารก่อนนอนก็ตาม
เรามาถึงเมืองไทยเวลาบ่าย 14.45 น. ของวันที่ 26 กุมภาพันธ์
เมื่อเคลียร์ทุกอย่างแล้ว
ต่างคนต่างแยกย้ายกันกลับบ้าน
สรุปแล้วได้อะไรจากการจาริกแสวงบุญที่แผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ ตามที่เขียนไว้ตั้งแต่ต้นแล้วว่า เราอาจจะได้อ่านพระคัมภีร์มามากมาย แต่เมื่ออ่านแล้วได้ไปสถานที่จริง ๆ
ได้พบบรรยากาศความเชื่อจากผู้คนทั่วโลกที่มาในแผ่นดินนี้ ทำหึ้ความเชื่อมีพลังมีชีวิตชีวามากขึ้น
เวลาเดียวกันได้มองดูภารกิจในการติดตามพระเยซูเจ้าทำให้รู้สึก
สำนึกและตระหนักถึงความสำคัญในการประกาศข่าวดีให้แก่ผู้อื่นมากขึ้นด้วย แผ่นดินศักดิ์สิทธิ์
เป็นแผ่นดินที่ไม่มความอุดมสมบูรณ์ในด้านทรัพยากรธรรมชาติ ไม่มีน้ำมันเหมือนประเทศอาหรับอื่น ๆ แต่สิ่งที่ชาวยิวและชาวมุสลิมแย่งกัน เพราะว่าเป็นแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์
หรือความศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่พวกเขาแย่งกัน
นั่นหมายความว่าความศักดิ์สิทธิ์นั้นมีค่ามากกว่าสมบุติใด ๆ ในโลกนี้
ขอพระเจ้าได้บันดาลความศักดิ์สิทธิ์ให้แก่เรา เพื่อที่เราจะนำไปให้กับผู้อื่น
และความศักดิ์สิทธิ์จะนำพวกเราพบกับพระองค์ในวาระสุดท้ายของชีวิต
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น